1
สินค้า บริการอื่น ๆ / โรคความดันโลหิตสูง อาการ สาเหตุ วิธีการรักษา แนวทางป้องกัน
« กระทู้ล่าสุด โดย siritidaphon เมื่อ วันนี้ เวลา 03:07 pm »โรคความดันโลหิตสูง อาการ สาเหตุ วิธีการรักษา แนวทางป้องกัน
โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นภาวะที่ความดันในหลอดเลือดแดงสูงกว่าระดับปกติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตวายเรื้อรัง
นี่คือข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับโรคนี้:
โรคความดันโลหิตสูง: ข้อมูลสำคัญ
1. อาการของโรค (Symptoms)
ความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่เป็น "ภัยเงียบ" โดยที่ผู้ป่วยมากกว่าครึ่ง ไม่มีอาการใด ๆ เลยในระยะเริ่มต้น จนกว่าจะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง แต่ในบางรายที่ความดันสูงมากหรือเริ่มมีภาวะแทรกซ้อน อาจมีอาการดังนี้:
ปวดศีรษะ: โดยเฉพาะบริเวณท้ายทอย มักจะเป็นตอนเช้าหลังตื่นนอน
วิงเวียน/มึนงง: อาจรู้สึกหน้ามืดเมื่อเปลี่ยนท่าทาง
อ่อนเพลีย/เหนื่อยง่ายผิดปกติ
ตาพร่ามัว
อาการอื่น ๆ ที่พบได้น้อย: เลือดกำเดาไหล หรือหูอื้อ
หมายเหตุ: การไม่มีอาการไม่ได้หมายความว่าไม่อันตราย ผู้ที่มีความเสี่ยงจึงควรตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำ
2. สาเหตุของการเกิดโรค (Causes)
โรคความดันโลหิตสูงแบ่งได้เป็น 2 ชนิดหลัก:
1. ความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุ (Primary หรือ Essential Hypertension)
เป็นสาเหตุที่พบมากที่สุด (มากกว่า 90%) ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เกิดจากปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างร่วมกัน:
พันธุกรรม: มีประวัติคนในครอบครัวเป็นความดันโลหิตสูง
อายุ: อายุมากขึ้น (โดยเฉพาะ >60 ปี) ผนังหลอดเลือดจะแข็งตัวและมีความยืดหยุ่นน้อยลง
พฤติกรรม: การบริโภคอาหารเค็ม (โซเดียมสูง), การดื่มแอลกอฮอล์มาก, การสูบบุหรี่, การขาดการออกกำลังกาย, ภาวะเครียด
ภาวะโรค: โรคอ้วน, ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)
2. ความดันโลหิตสูงที่ทราบสาเหตุ (Secondary Hypertension)
เป็นสาเหตุที่พบได้น้อย (<10%) เกิดจากความผิดปกติของอวัยวะอื่น ๆ หรือยาบางชนิด เช่น:
โรคไต หรือหลอดเลือดที่ไตตีบ
ความผิดปกติของฮอร์โมน (เช่น เนื้องอกต่อมหมวกไต, โรคไทรอยด์)
การใช้ยาบางชนิด (เช่น ยาคุมกำเนิด, ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs บางชนิด)
3. แนวทางการรักษา (Treatment)
เป้าหมายหลักของการรักษาคือ การลดความดันโลหิตให้อยู่ในระดับเป้าหมาย (ส่วนใหญ่น้อยกว่า 130/80 มม.ปรอท) เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
การรักษามี 2 ส่วนสำคัญ:
แนวทาง รายละเอียด
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ใช้ได้กับผู้ป่วยทุกราย และจำเป็นสำหรับผู้ที่เริ่มเป็นหรือกลุ่มเสี่ยง
การใช้ยา สำหรับผู้ที่มีความดันสูงเกินเกณฑ์อย่างชัดเจน (มักเป็น >140/90 มม.ปรอท) หรือผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนแล้ว
การรักษาด้วยยา แพทย์จะพิจารณาจ่ายยาลดความดันโลหิต ซึ่งมีหลายกลุ่ม โดยจะเลือกยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย และมักต้องรับประทานต่อเนื่องตลอดชีวิต เพื่อควบคุมความดันให้อยู่ในระดับปลอดภัย
4. แนวทางป้องกัน (Prevention)
การป้องกันโรคความดันโลหิตสูงทำได้ดีที่สุดด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม:
ควบคุมอาหารเค็ม/โซเดียม: ลดปริมาณโซเดียม ให้น้อยกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน (เทียบเท่าเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชา) หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป และเครื่องปรุงรสเค็มจัด
ควบคุมน้ำหนักตัว: รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ (BMI เหมาะสม) การลดน้ำหนักตัวแม้เพียงเล็กน้อยก็ช่วยลดความดันโลหิตได้
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ออกกำลังกายแบบแอโรบิก (เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ๆ ว่ายน้ำ) อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
งด/ลดแอลกอฮอล์และบุหรี่: การสูบบุหรี่ทำลายหลอดเลือดโดยตรง และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเพิ่มความดันโลหิต
จัดการความเครียด: ฝึกการผ่อนคลาย, พักผ่อนให้เพียงพอ, และทำสมาธิ
คำแนะนำที่สำคัญที่สุด: ผู้ที่มีความเสี่ยงหรือมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ควร ตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำ เพื่อค้นพบและรักษาโรคได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน
โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นภาวะที่ความดันในหลอดเลือดแดงสูงกว่าระดับปกติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตวายเรื้อรัง
นี่คือข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับโรคนี้:
โรคความดันโลหิตสูง: ข้อมูลสำคัญ
1. อาการของโรค (Symptoms)
ความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่เป็น "ภัยเงียบ" โดยที่ผู้ป่วยมากกว่าครึ่ง ไม่มีอาการใด ๆ เลยในระยะเริ่มต้น จนกว่าจะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง แต่ในบางรายที่ความดันสูงมากหรือเริ่มมีภาวะแทรกซ้อน อาจมีอาการดังนี้:
ปวดศีรษะ: โดยเฉพาะบริเวณท้ายทอย มักจะเป็นตอนเช้าหลังตื่นนอน
วิงเวียน/มึนงง: อาจรู้สึกหน้ามืดเมื่อเปลี่ยนท่าทาง
อ่อนเพลีย/เหนื่อยง่ายผิดปกติ
ตาพร่ามัว
อาการอื่น ๆ ที่พบได้น้อย: เลือดกำเดาไหล หรือหูอื้อ
หมายเหตุ: การไม่มีอาการไม่ได้หมายความว่าไม่อันตราย ผู้ที่มีความเสี่ยงจึงควรตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำ
2. สาเหตุของการเกิดโรค (Causes)
โรคความดันโลหิตสูงแบ่งได้เป็น 2 ชนิดหลัก:
1. ความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุ (Primary หรือ Essential Hypertension)
เป็นสาเหตุที่พบมากที่สุด (มากกว่า 90%) ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เกิดจากปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างร่วมกัน:
พันธุกรรม: มีประวัติคนในครอบครัวเป็นความดันโลหิตสูง
อายุ: อายุมากขึ้น (โดยเฉพาะ >60 ปี) ผนังหลอดเลือดจะแข็งตัวและมีความยืดหยุ่นน้อยลง
พฤติกรรม: การบริโภคอาหารเค็ม (โซเดียมสูง), การดื่มแอลกอฮอล์มาก, การสูบบุหรี่, การขาดการออกกำลังกาย, ภาวะเครียด
ภาวะโรค: โรคอ้วน, ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)
2. ความดันโลหิตสูงที่ทราบสาเหตุ (Secondary Hypertension)
เป็นสาเหตุที่พบได้น้อย (<10%) เกิดจากความผิดปกติของอวัยวะอื่น ๆ หรือยาบางชนิด เช่น:
โรคไต หรือหลอดเลือดที่ไตตีบ
ความผิดปกติของฮอร์โมน (เช่น เนื้องอกต่อมหมวกไต, โรคไทรอยด์)
การใช้ยาบางชนิด (เช่น ยาคุมกำเนิด, ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs บางชนิด)
3. แนวทางการรักษา (Treatment)
เป้าหมายหลักของการรักษาคือ การลดความดันโลหิตให้อยู่ในระดับเป้าหมาย (ส่วนใหญ่น้อยกว่า 130/80 มม.ปรอท) เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
การรักษามี 2 ส่วนสำคัญ:
แนวทาง รายละเอียด
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ใช้ได้กับผู้ป่วยทุกราย และจำเป็นสำหรับผู้ที่เริ่มเป็นหรือกลุ่มเสี่ยง
การใช้ยา สำหรับผู้ที่มีความดันสูงเกินเกณฑ์อย่างชัดเจน (มักเป็น >140/90 มม.ปรอท) หรือผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนแล้ว
การรักษาด้วยยา แพทย์จะพิจารณาจ่ายยาลดความดันโลหิต ซึ่งมีหลายกลุ่ม โดยจะเลือกยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย และมักต้องรับประทานต่อเนื่องตลอดชีวิต เพื่อควบคุมความดันให้อยู่ในระดับปลอดภัย
4. แนวทางป้องกัน (Prevention)
การป้องกันโรคความดันโลหิตสูงทำได้ดีที่สุดด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม:
ควบคุมอาหารเค็ม/โซเดียม: ลดปริมาณโซเดียม ให้น้อยกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน (เทียบเท่าเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชา) หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป และเครื่องปรุงรสเค็มจัด
ควบคุมน้ำหนักตัว: รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ (BMI เหมาะสม) การลดน้ำหนักตัวแม้เพียงเล็กน้อยก็ช่วยลดความดันโลหิตได้
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ออกกำลังกายแบบแอโรบิก (เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ๆ ว่ายน้ำ) อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
งด/ลดแอลกอฮอล์และบุหรี่: การสูบบุหรี่ทำลายหลอดเลือดโดยตรง และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเพิ่มความดันโลหิต
จัดการความเครียด: ฝึกการผ่อนคลาย, พักผ่อนให้เพียงพอ, และทำสมาธิ
คำแนะนำที่สำคัญที่สุด: ผู้ที่มีความเสี่ยงหรือมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ควร ตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำ เพื่อค้นพบและรักษาโรคได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน

กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้



























