โรคมะเร็งตับและท่อน้ำดีโรคมะเร็งตับและท่อน้ำดีเป็นโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยในประเทศไทยและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มักเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากมาพบแพทย์เมื่อโรคอยู่ในระยะลุกลามแล้ว
1. มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma - HCC)
สาเหตุหลัก:
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) และไวรัสตับอักเสบซี (HCV) เรื้อรัง: เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด
ตับแข็ง (Cirrhosis): ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด เช่น ไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง, การดื่มแอลกอฮอล์เรื้อรัง, ไขมันพอกตับ, โรคตับอื่นๆ ที่ทำให้เกิดตับแข็ง
การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากเป็นเวลานาน: ทำให้เกิดตับอักเสบและนำไปสู่ตับแข็ง
ไขมันพอกตับที่ไม่มีแอลกอฮอล์ (Non-alcoholic Fatty Liver Disease - NAFLD) และภาวะไขมันพอกตับอักเสบ (NASH): โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคอ้วน เบาหวาน และภาวะดื้ออินซูลิน
สารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin): สารพิษที่เกิดจากเชื้อราในพืชผลทางการเกษตร เช่น ถั่วลิสง ข้าวโพด ที่เก็บไม่ดี
อาการ:
ในระยะแรกมักไม่มีอาการ หรือมีอาการไม่จำเพาะเจาะจง เช่น
แน่นท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำ
อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
ปวดหรือเสียดชายโครงขวาด้านบน
เมื่อโรคดำเนินไปมากขึ้น อาจมีอาการที่ชัดเจนขึ้น:
ตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน)
ปัสสาวะมีสีเข้มขึ้น อุจจาระสีซีดลง
ท้องโต หรือท้องมาน (จากมีน้ำในช่องท้อง)
ขาบวมทั้งสองข้าง
คลำพบก้อนในช่องท้อง
มีไข้ต่ำๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ
2. มะเร็งท่อน้ำดี (Cholangiocarcinoma - CCA)
สาเหตุหลัก:
พยาธิใบไม้ตับ (Liver Fluke - Opisthorchis viverrini): เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกิดจากการรับประทานปลาน้ำจืดที่ปรุงไม่สุกและมีพยาธิ
การติดเชื้อปรสิตอื่นๆ
ภาวะท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรัง: เช่น Primary Sclerosing Cholangitis (PSC)
ถุงน้ำดีผิดปกติแต่กำเนิด (Choledochal Cyst)
นิ่วในท่อน้ำดี (ในบางกรณี)
โรคเบาหวาน
สารเคมีบางชนิด: เช่น สารในอุตสาหกรรมยางและพลาสติก
อาการ:
ตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน): เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดและมักเป็นอาการแรกที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน เนื่องจากก้อนมะเร็งไปอุดตันท่อน้ำดี ทำให้น้ำดีไหลเวียนไม่ได้และย้อนเข้าสู่กระแสเลือด
ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้มขึ้น
อุจจาระมีสีซีด หรือสีขาวคล้ายดินเหนียว
คันตามผิวหนังทั่วร่างกาย: เกิดจากการสะสมของน้ำดีในเลือด
ปวดท้องบริเวณชายโครงขวา หรือใต้ลิ้นปี่ อาจปวดร้าวไปหลัง
เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
น้ำหนักลด อ่อนเพลีย
มีไข้ (อาจเกิดจากการติดเชื้อที่ท่อน้ำดีอุดตัน)
บางครั้งอาจคลำพบก้อนที่ท้อง หรือพบถุงน้ำดีโต
การวินิจฉัยโรคมะเร็งตับและท่อน้ำดี
ซักประวัติและตรวจร่างกาย: โดยเฉพาะการตรวจหาอาการตัวเหลือง ตาเหลือง หรือคลำหาก้อนที่ท้อง
การตรวจเลือด:
การทำงานของตับ (Liver Function Test - LFT): ดูค่าเอนไซม์ตับ, บิลิรูบิน
สารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor Markers):
Alpha-fetoprotein (AFP): ใช้ตรวจหามะเร็งตับ (HCC)
Carbohydrate Antigen 19-9 (CA19-9): ใช้ตรวจหามะเร็งท่อน้ำดี (CCA)
การตรวจภาพวินิจฉัย (Imaging Studies):
อัลตราซาวนด์ (Ultrasound): ตรวจคัดกรองเบื้องต้น
CT Scan (Computed Tomography): เพื่อดูขนาด, ตำแหน่ง, การลุกลามของก้อนมะเร็ง
MRI (Magnetic Resonance Imaging): ให้รายละเอียดที่ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะมะเร็งท่อน้ำดี
MRCP (Magnetic Resonance Cholangiopancreatography): การถ่ายภาพท่อน้ำดีด้วย MRI
ERCP (Endoscopic Retrograde Cholangiopancreatography): ใช้ส่องกล้องเข้าไปในท่อน้ำดีเพื่อวินิจฉัยและรักษา (เช่น ใส่ท่อระบายน้ำดี)
PTC (Percutaneous Transhepatic Cholangiography): ใช้เข็มแทงผ่านผิวหนังเข้าตับเพื่อฉีดสีและถ่ายภาพท่อน้ำดี
การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy): การนำชิ้นเนื้อจากก้อนมะเร็งไปตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อยืนยันชนิดของมะเร็ง ถือเป็นการวินิจฉัยที่แน่นอนที่สุด
การรักษา
แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับชนิด, ขนาด, ตำแหน่ง, ระยะของมะเร็ง, สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และการทำงานของตับ
การผ่าตัด (Surgery):
การผ่าตัดก้อนมะเร็งออก (Resection): เป็นวิธีหลักในการรักษาที่หวังผลหายขาดได้ดีที่สุด หากตรวจพบในระยะแรกและก้อนมะเร็งสามารถผ่าตัดออกได้ทั้งหมด
การปลูกถ่ายตับ (Liver Transplantation): เป็นทางเลือกในผู้ป่วยมะเร็งตับบางรายที่มีก้อนมะเร็งขนาดเล็กและอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด
การรักษาเฉพาะที่ (Locoregional Therapies):
การจี้ทำลายด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency Ablation - RFA): ใช้ความร้อนทำลายเซลล์มะเร็ง
การจี้ทำลายด้วยคลื่นไมโครเวฟ (Microwave Ablation - MWA): คล้าย RFA
การฉีดแอลกอฮอล์เข้าก้อนมะเร็ง (Percutaneous Ethanol Injection - PEI):
การให้เคมีบำบัดผ่านทางเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตับ (Transarterial Chemoembolization - TACE): ฉีดเคมีบำบัดและอุดเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง
การฉายรังสี (Radiation Therapy): ใช้รังสีพลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็ง อาจใช้ร่วมกับการผ่าตัดหรือในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดได้
การรักษาระบบ (Systemic Therapies):
เคมีบำบัด (Chemotherapy): ใช้ยาเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งทั่วร่างกาย มักใช้ในระยะที่โรคแพร่กระจายแล้ว หรือเพื่อลดขนาดก้อนก่อนผ่าตัด
ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy): ยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อกลไกการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): ยาที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง
การรักษาแบบประคับประคอง (Palliative Care):
มุ่งเน้นการบรรเทาอาการและเพิ่มคุณภาพชีวิต เช่น การใส่ท่อระบายน้ำดีในผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีที่มีอาการดีซ่าน เพื่อลดภาวะอุดตัน
การป้องกัน
ป้องกันและรักษาสาเหตุ:
ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีในเด็กแรกเกิด และผู้ที่ยังไม่เคยเป็นโรค
ตรวจคัดกรองและรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซีเรื้อรัง
งดหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์
ควบคุมน้ำหนักและรักษาโรคเบาหวาน เพื่อป้องกันไขมันพอกตับ
หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจปนเปื้อนเชื้อราอะฟลาทอกซิน
ป้องกันพยาธิใบไม้ตับ: ไม่กินปลาน้ำจืดดิบๆ สุกๆ ดิบๆ ควรปรุงให้สุกด้วยความร้อนสูง
การตรวจคัดกรองในกลุ่มเสี่ยง:
ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีหรือซีเรื้อรัง และผู้ป่วยตับแข็งทุกราย ควรได้รับการตรวจอัลตราซาวนด์ตับและตรวจเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็งตับ (AFP) ทุก 6-12 เดือนตามคำแนะนำของแพทย์
การรู้เท่าทันปัจจัยเสี่ยงและหมั่นดูแลสุขภาพ รวมถึงการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอในกลุ่มเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญมากในการป้องกันและตรวจพบโรคมะเร็งตับและท่อน้ำดีในระยะเริ่มต้น ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้สูงขึ้นครับ