แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 54
1
ตรวจโรค คีลอยด์/แผลปูด (Keloid)

คีลอยด์ (แผลปูด) หมายถึง แผลเป็นที่ปูดโปนมีขนาดใหญ่กว่าแผลเป็นธรรมดา เป็นภาวะที่พบได้บ่อยเฉพาะคนบางคน คนที่เคยเป็นคีลอยด์ เมื่อมีบาดแผลเกิดขึ้นก็มักจะกลายเป็นคีลอยด์ได้อีก

สาเหตุ

เกิดจากการงอกผิดปกติของเนื้อเยื่อผิวหนังส่วนที่เป็นแผล อาจเกิดกับบาดแผลได้ทุกชนิด เช่น บาดแผลผ่าตัด บาดแผลที่เกิดจากการได้รับบาดเจ็บ บาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ถูกแมงกะพรุนไฟ ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย รอยฉีดวัคซีนบีซีจี รอยสิว รอยเจาะหู รอยสัก รอยแผลอีสุกอีใส เป็นต้น เมื่อแผลหายใหม่ ๆ อาจมีลักษณะเป็นปกติธรรมดา แต่ต่อมาอีกหลายสัปดาห์จะค่อย ๆ งอกโตขึ้นจนเป็นแผลปูด บางครั้งคีลอยด์อาจเกิดจากแผลเป็นธรรมดาที่มีอยู่เดิมมานานหลายปี หรือเกิดในบริเวณที่ไม่มีรอยแผลเป็นมาก่อนก็ได้

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เนื้อเยื่อผิวหนังส่วนที่เป็นแผลงอกผิดปกตินั้นยังไม่ทราบแน่ชัด

พบว่าผู้ที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นคีลอยด์ มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้สูงกว่าปกติ จึงเชื่อว่าโรคนี้อาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางกรรมพันธุ์


อาการ

มีลักษณะเป็นก้อนเนื้องอก แข็งและหยุ่น ๆ คล้ายยาง เป็นรูปไข่แผ่ออกคล้ายก้ามปู มีสีแดงหรือชมพู ผิวมัน อาจมีอาการคัน และกดเจ็บ ก้อนอาจคงที่ หรือค่อย ๆ โตขึ้นก็ได้ มักไม่หายเอง

มักพบเพียงหนึ่งก้อน แต่ก็อาจพบหลายก้อนได้ สามารถพบได้ทุกแห่งของร่างกาย แต่จะพบมากบริเวณหน้าอก หลัง ไหล่ แขนและขา


ภาวะแทรกซ้อน

ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง นอกจากทำให้รู้สึกไม่สวยงาม


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบเป็นหลัก

หากสงสัยว่าเป็นโรคผิวหนังชนิดอื่น ๆ แพทย์จะทำการตัดเนื้อเยื่อผิวหนังไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

ถ้าขึ้นในบริเวณที่มิดชิดหรือไม่มีลักษณะที่น่าเกลียด ก็ไม่ต้องให้การรักษาแต่อย่างใด นอกจากถ้ามีอาการคันให้ทาด้วยครีมสเตียรอยด์ แต่ถ้าก้อนโตน่าเกลียด หรือทำให้ขาดความสวยงาม อาจต้องรักษาด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์ เช่น ไตรแอมซิโนโลนอะเซโทไนด์ (triamcinolone acetonide) เข้าไปในแผลคีลอยด์ อาจช่วยให้แผลเป็นฝ่อเล็กลงได้บ้าง

ในรายที่มีขนาดใหญ่อาจต้องทำการผ่าตัด แล้วฉีดยาสเตียรอยด์เมื่อแผลเริ่มหายภายใน 1-2 สัปดาห์

นอกจากนี้อาจรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น รังสีบำบัด (ฉายรังสี), การผ่าตัดด้วยความเย็นที่เรียกว่า ไครโอเซอเจอรี (cryosurgery) การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ เป็นต้น


การดูแลตนเอง

ถ้าเป็นแผลขนาดเล็ก ไม่มีอาการปวด หรือคัน และไม่โตขึ้น ไม่จำเป็นต้องให้การรักษาแต่อย่างใด

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการปวดหรือคัน
    แผลโตขึ้น หรือรู้สึกไม่สวยงาม 
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง


การป้องกัน

ผู้ที่เป็นแผลคีลอยด์ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดบาดแผลโดยไม่จำเป็น เช่น การสัก การเจาะหู การบีบหรือแกะสิว เป็นต้น


ข้อแนะนำ

1. คีลอยด์เป็นเนื้องอกธรรมดา ไม่ใช่มะเร็งหรือเนื้อร้าย และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด

2. คีลอยด์จะเกิดขึ้นเฉพาะกับคนบางคนเท่านั้น ซึ่งผิวหนังจะมีธรรมชาติแตกต่างไปจากคนปกติ เมื่อมีบาดแผลก็จะทำให้เกิดเป็นแผลปูด ทั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการกินของแสลง (เช่น เนื้อ ไข่) ดังที่ชาวบ้านเข้าใจกันแต่อย่างใด

3. ห้ามรักษาคีลอยด์ด้วยการผ่าตัดเพียงอย่างเดียวเป็นอันขาด (โดยไม่ฉีดยาสเตียรอยด์ตามใน 1-2 สัปดาห์ต่อมา) เพราะแผลเป็นที่เกิดขึ้น จะกลายเป็นคีลอยด์ที่ใหญ่ขึ้นไปกว่าเดิมได้อีก

2
จัดฟันบางนา: การดูแลรักษาฟันปลอม

การสวมใส่ฟันปลอม ถือว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มผู้สูงอายุ เพราะในวัยผู้สูงอายุนั้น ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน ย่อมมีปัญหาได้ง่าย เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงและเสื่อมถอยของอวัยวะต่างๆภายในร่างกายรวมถึงสุขภาพช่องปากและฟันด้วย ทำให้ผู้สูงอายุนั้นมีสุขภาพฟันที่ไม่ค่อยแข็งแรงมากนัก จนต้องสวมใส่ฟันปลอมเพื่อที่จะช่วยบดเคี้ยวอาหาร และสามารถรับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่มากขึ้น ซึ่งฟันปลอม เป็นฟันที่ใส่แทนฟันที่หายไปจากการถอนหรือหลุดร่วง โดยการใส่ฟันปลอมจะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดจากการสูญเสียฟัน ทำให้รับประทานอาหารและพูดคุยได้อย่างสะดวก คอยพยุงแก้มและริมฝีปากไว้ไม่ให้หย่อนคล้อยลงไป ทั้งยังช่วยให้กลับมาพูดคุยและยิ้มได้อย่างมั่นใจอีกด้วย เห็นมั้ยว่าการสวมใส่ฟันปลอม สามารถแก้ไขปัญหาได้หลายข้อ สำหรับผู้ที่สูญเสียฟันธรรมชาติไป โดยเฉพาะในเรื่องของการรับประทานอาหาร


ในการรับประทานอาหารในช่วงเริ่มสวมใส่ฟันปลอมเป็นครั้งแรกนั้น ต้องฝึกเคี้ยวให้ชินเสียก่อน ผู้เข้ารับการรักษาที่สวมใส่ฟันปลอมบางราย อาจยังรับประทานได้ไม่ค่อยสะดวกใน 2-3 สัปดาห์แรก จึงควรเริ่มจากการรับประทานอาหารชนิดอ่อน ตัดเป็นคำเล็กๆ และเคี้ยวช้าๆ โดยใช้ฟันทั้ง2 ข้างเท่าๆ กัน เมื่อเริ่มเคยชินกับการสวมใส่ฟันปลอมแล้วจึงค่อยๆ เปลี่ยนไปรับประทานอาหารชนิดอื่น จนสามารถกลับไปรับประทานได้อย่างเป็นปกติในที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็ควรที่จะระมัดระวังในการรับประทานอาหารร้อนและอาหารแข็ง หลีกเลี่ยงอาหารที่เหนียวหรือแข็งเกินไป รวมถึงการเคี้ยวหมากฝรั่งและการใช้ไม้จิ้มฟันขณะใส่ฟันปลอม เพราะอาจจะส่งผลให้ฟันปลอมเกิดความเสียหายได้


ซึ่งในเรื่องของการดูแลรักษาฟันปลอมก็ถือว่ามีความสำคัญมาก เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งอวัยวะที่สำคัญต่อการใช้ชีวิตเลยก็ว่าได้ สำหรับผู้ที่มีปัญหาการสูญเสียฟัน และวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดเรื่องของการดูแลรักษาฟันปลอม ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ฟันปลอมของเรานั้น สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น รวมไปถึงวิธีการทำความสะอาดฟันปลอม เพื่อช่วยลดปัญหาที่อาจจะทำให้ประสิทธิภาพในการใช้งานลดลงด้วย การดุแลรักษาฟันปลอมนั้น ควรจะต้องมีการดูแลรักษาให้สะอาด ปราศจากคราบเปรอะเปื้อนและดูดีอยู่เสมอ


ซึ่งถือว่าเป็นการดูแลรักษาความสะอาดในเบื้องต้นเลยเมื่อเราถอดฟันปลอมออกแล้ว ควรล้างให้สะอาด หลังจากรับประทานอาหาร ใช้น้ำชะล้างฟันปลอมเพื่อขจัดคราบอาหารที่ติดอยู่ออก และระหว่างนี้ควรระวังไม่ให้ฟันปลอมหลุดมือหรือตกจนแตกเสียหายได้ ควรจับฟันปลอมอย่างระมัดระวังและเบามือ ป้องกันไม่ให้พลาสติกหรือตะขอของฟันปลอมโค้งงอหรือเสียหายขณะถอดออกมาล้างทำความสะอาด เมื่อแปรงทำความสะอาดฟันปลอมด้วยการจุ่มหรือแปรงด้วยน้ำยาหรือเม็ดฟู่ สำหรับทำความสะอาดฟันปลอมที่ไม่มีฤทธิ์กัดกร่อน เพื่อช่วยขจัดเศษและคราบอาหาร รวมถึงกาวติดฟันปลอมที่อาจเหลือติดค้างอยู่ตามร่องฟันปลอม เพื่อลดปัยหาการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์

นอกจากนี้ การแช่ฟันปลอมค้างคืนก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการดูแลรักษาฟันปลอม เพราะฟันปลอมหลายๆ ชนิดจำเป็นต้องเก็บในที่ที่มีความชื้นเพื่อคงรูปร่างของฟันปลอมไว้ จึงควรแช่ฟันปลอมไว้ในน้ำเปล่าหรือน้ำยาแช่ฟันปลอมชนิดอ่อน ๆ ข้ามคืน หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์กัดกร่อน

และยาสีฟันที่ช่วยให้ฟันขาวหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารฟอกสีฟัน เพราะอาจทำให้ฟันปลอมเสียหายและมีสีหมองคล้ำลง รวมถึงการใช้น้ำร้อนที่จะส่งผลให้ฟันปลอมเกิดการบิดงอได้และที่สำคัญเมื่อต้องการใช้งานฟันปลอม ควรล้างฟันปลอมก่อนใส่กลับเข้าไปในปาก โดยเฉพาะหากฟันปลอมนั้นถูกแช่ในสารละลายสำหรับแช่ฟันปลอม เพราะอาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงให้อยากอาเจียน มีอาการเจ็บหรือแสบร้อนเมื่อกลืนลงไปได้

และถ้าหากรู้สึกว่าฟันปลอมไม่พอดีหรือเริ่มหลวม เนื่องจากฟันปลอมที่หลวมนั้นอาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาการเจ็บปวด ระคายเคือง และเสี่ยงต่อการติดเชื้อตามมา ก็ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อทำการแก้ไข ให้มั่นใจว่าฟันปลอมพอดีกับช่องปาก ป้องกันไม่ให้ฟันปลอมหลุดออกหรือเกิดความระคายเคือง หากมีปัญหาหรือต้องการที่สวมใส่ฟันปลอม

3
เที่ยวระนอง ถวายดอกบัวในโถแก้ว เข้าโบสถ์ วัดบ้านหงาว ไหว้หลวงพ่อดีบุก

ได้เดินทางมา เที่ยวระนอง และได้แวะไปวัดบ้านหงาว เพื่อสักการะ หลวงพ่อดีบุก ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “พระติปุกะพุทธมหาศากยมุนีศรีรณังค์” มีความหมายว่า พระพุทธรูปดีบุกองค์ใหญ่ ที่เป็นสิริมงคล และศักดิ์ศรีของเมืองระนอง นั่นเอง

เที่ยวระนอง ไหว้สักการะหลวงพ่อดีบุก เที่ยววัดบ้านหงาว

การเดินทางมาที่วัดบ้านหงาว ในครั้งนี้ เรามาตาม Google Map ที่นำทางมาจนถึงที่หน้าวัด บอกเลยว่า พระอุโบสถสวยมาก เป็นพระอุโบสถ 2 ชั้น อยู่ท่ามกลางขุนเขา พระอุโบสถกว้าง 8 เมตร ยาว 15 เมตร รอบๆเทคอนกรีตเป็นลานกว้าง มีลูกกรงล้อมรอบดูสวยงาม มีอาคารจัตุรมุขกว้าง มีบันไดขึ้นลงได้ทั้ง 4 ทิศ เหนือ ใต้ ตะวันออก และ ตะวันตก

ตรงบันไดด้านหน้าทางขึ้นนั้น มีรูปปั้นขององค์พญานาค สีเขียว อยู่ที่บันไดทางขึ้น ที่สวยงามมาก เมื่อมาถึงที่ภายในพระอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานพระประธาน มีนามว่า “หลวงพ่อดีบุก” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่สีตะกั่ว สวยงาม องค์ใหญ่ เป็นที่สักการะ ทั้งคนในชุมชน และนักท่องเที่ยว จิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถ แกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ ได้อย่างปราณีต และงดงามยิ่งนัก

ไร่หนึ่งอรุณ ได้นำดอกบัวอบแห้งคู่หนึ่ง พร้อมกับ ชุดสังคทาน ถวายแด่ท่านเจ้าอาวาส และท่านได้อนุญาตให้นำดอกบัวอบแห้งคู่นี้ นำมาตั้งวางไว้ที่ในพระอุโบสถแห่งนี้ เป็นที่ปราบปลื้มใจยิ่งนัก ” ข้าพเจ้า ไร่หนึ่งอรุณ ขอถวาย ดอกบัวอบแห้ง คู่นี้ เป็นพุทธบูชา แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ”

ด้านล่างของอุโบสถเป็นห้องโถง ใช้สำหรับการประชุมสัมมนา ต่างๆได้ นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ที่เก็บรวบรวมสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้า ประวัติความเป็นมาของชาวระนอง นอกจากนี้ยังมีวังมัจฉา ที่มีพันธุ์ปลาน้ำจืดหลากหลายชนิด นักท่องเที่ยวสามารถให้อาหารได้

ที่บริเวณภูเขาด้านหลังของวัด มีบันไดคอนกรีต มากกว่า 300 ขั้น ที่สามารถเดินขึ้นไปบนยอดภูเขา เป็นสถานที่สำหรับชมวิวทิวทัศน์ ของจังหวัดระนองได้รอบ 360 องศา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม อีกแห่งหนึ่งของภาคใต้
ประวัติ วัดบ้านหงาว จังหวัดระนอง

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 ในปีนั้น ได้มีพระธุดงค์ นามว่า หลวงพ่อเขียด ท่านเป็นพระที่มีอายุพรรษามากรูปหนึ่ง ท่านธุดงค์มาจากจังหวัดปัตตานี มาปักกรดโปรดสัตว์อยู่ที่บริเวณสถานีอนามัยตำบลหงาว เมื่อชาวบ้านมาเห็น จึงเกิดศรัทธายิ่งนัก จึงพากันมาทำบุญ และฟังธรรมเทศนา

หลวงพ่อเขียด ท่านมีปฏิปทาน่าเคารพเลื่อมในมาก โดยได้ให้ความเมตตาช่วยเหลือชาวบ้านในด้านต่าง ๆ เป็นอย่างดี ชาวบ้านจึงนิมนต์ ให้ท่านอยู่จำพรรษาที่บ้านหงาว โดยคุณแม่ลำไย สกุลสิงห์ คหบดีในตำบลหงาว อุทิศที่ดินจำนวน ๒ ไร่ สร้างเป็นที่พักสงฆ์ หลวงพ่อเขียด ท่านรับนิมนต์ และย้ายไปปักกรดในที่ดินที่คุณแม่ลำไย อุทิศให้ คือบริเวณที่ตั้งวัดบ้านหงาวในปัจจุบันนี้

หลวงพ่อเขียด ได้ขอบิณฑบาตกระดานโลงศพ ในส่วนที่เป็นฝาและท้องโลงศพ ที่ชาวบ้านนำศพไปเผาแล้วถอดออก เพื่อทำเป็นเชื้อไฟนำมาทำเป็นกุฏิของท่าน หลวงพ่อเขียดเป็นพระธุดงค์ ชอบความสงบ วิเวก เมื่อสร้างที่พักสงฆ์เสร็จแล้ว มีพระภิกษุสามเณรมาอยู่กันมาก คนเริ่มเข้าวัดมากขึ้น ท่านเห็นว่ามีพระอยู่กันหลายรูปแล้ว ในปี พ.ศ. 2502 ท่านก็จาริกธุดงค์ไปที่อื่น โดยไม่มีใครทราบว่าท่านธุดงค์ไปที่ไหนจนกระทั่งปัจจุบันนี้

ต่อจากนั้นมา ที่พักสงฆ์บ้านหงาว ก็ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นสำนักสงฆ์สาขาวัดอุปนันทาราม โดยมีพระครูสมุห์นิคม อรุโณ มาอยู่เป็นเจ้าสำนัก จึงมีการพัฒนาและก่อสร้างอาคารต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น กุฏิพระสงฆ์ หอฉัน ศาลาการเปรียญ เพื่อเตรียมการขอตั้งเป็นวัดให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกรมการศาสนา

ดร.แหลม พิชัยศรทัต ซึ่งเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทไซมัสกินซินทีเกรด ทำธุรกิจเหมืองเรือขุดแร่อยู่ในตำบลหงาว และเป็นกำนันอยู่ในตำบลหงาวขณะนั้น ท่านได้ของบประมาณจากทางจังหวัดมาสร้างเมรุเผาศพ และขอบริจาคที่ดินจากผู้ที่มีที่ดินติดกับวัด จึงทำให้วัดบ้านหงาวมีที่ดินเพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น ๒๒ ไร่ เศษ ดังในปัจจุบันนี้

ในปี พ.ศ. 2530 จึงได้ยกฐานะจากสำนักสงฆ์ขึ้นเป็นวัด โดยใช้ชื่อว่า “วัดบ้านหงาว” มีพระอธิการน้อม จนฺทสโร เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก พระอธิการน้อม มรณภาพในปี พ.ศ. 2532 ทางคณะสงฆ์จังหวัดระนองจึงได้ส่ง พระสมุห์โกศล กุสโล (อาจารย์ฉลวย กุสโล) มาเป็นเจ้าอาวาสแทน ท่านเป็นพระนักพัฒนา ท่านได้วางแผนพัฒนาวัดบ้านหงาวอย่างต่อเนื่อง สร้างกุฏิ หอฉัน ศาลาการเปรียญ เมรุเผาศพขึ้นใหม่

รวมทั้งจัดตั้งแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดขึ้นในเหมืองเก่า หาพันธุ์ปลามาปล่อย และตั้งชื่อขุมเหมืองแร่เก่านี้ว่า “วังมัจฉา” มีพันธุ์ปลาน้ำจืดที่หายาก มากมาย จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดระนองในปัจจุบัน

อุโบสถวัดบ้านหงาว เป็นอุโบสถ 2 ชั้น หรือที่เรียกว่า อุโบสถลอยฟ้า กว้าง 8 เมตร ยาว 15 เมตร รอบอุโบสถเทคอนกรีตเป็นลานกว้างมีลูกกรงล้อมรอบ ในแต่ละมุมทั้ง 4 ด้าน มีอาคารจัตุรมุขกว้าง มีบันไดขึ้นลงรอบทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ด้านล่างของอุโบสถเป็นห้องโถงใช้สำหรับการประ ชุมสัมมนา

ภายในอุโบสถวัดบ้านหงาว เป็นที่ประดิษฐานพระประธาน มีนามว่า “หลวงพ่อดีบุก” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีชื่อเป็นทางการว่า “พระติปุกะพุทธมหาศากยมุนีศรีรณังค์” อันมีความหมายว่า “พระพุทธรูปดีบุกองค์ใหญ่เป็นสิริมงคลและศักดิ์ศรีของเมืองระนอง” และยังมีความสวยงามของฝาผนังที่แกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ อีกด้วย

ศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชวัดบ้านหงาว ภายในจะแสดงเรื่องราวการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกร ที่ชาวระนองวัดบ้านหงาว ได้บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ของจังหวัดระนอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จหลายครา ตั้งแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบัน

ทำให้คนในชุมชนมีความพออยู่พอกิน หาเลี้ยงพึ่งพาตนเองได้ ลูกหลานระนองทุกคนมีความเคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ระนองเป็นเมืองแห่งความจงรักภักดี พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ซึ่งมีการรวบรวมสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ทั้งพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์สมัยต่าง ๆ เครื่องมือในการร่อนแร่ ครกบดหิน เงินตราสมัยต่าง ๆ ตลอดถึงภาพเก่า ๆ ที่สามารถเล่าเรื่องอดีตให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้า

วัดบ้านหงาว มีมรดกทางวัฒนธรรมและมีธรรมชาติอากาศบริสุทธิ์ ภูเขาหญ้าที่สวยงาม ช่วงวันออกพรรษา ที่นี้จะมีการตักบาตรเทโว ที่พระสงฆ์เดินลงเป็นสายทางยาวลงบันได จำนวน 343 ขั้น จากยอดเขาลงมา ให้พุทธศาสนิกชน ได้ตักบาตร เสมือนหนึ่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ลงมาโปรดมนุษย์ เนื่องในวันออกพรรษา ประชาชนในชุมชนได้ร่วมทำบุญ อิ่มบุญกันถ้วนหน้า เป็นชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวรต้นแบบ ที่กระทรวงวัฒนธรรมส่งเสริมให้เป็นชุมชนบวร On Tour ที่ควรภาคภูมิใจและไปเยี่ยมเยือน

4
เมนูสร้างรายได้ ข้าวผัดกุนเชียง เมนูที่หลายคนชื่นชอบทำง่าย รสชาติกลมกล่อมเนื้อสัมผัสนุ่มลิ้นหวานเล็กน้อย

ข้าวผัดคุณเชียงเป็นเมนูยอดนิยมของคนไทย ที่มีรสชาติกลมกล่อม เนื้อสัมผัสนุ่มลิ้นและความหวานเล็กน้อย อาหารจานเดียวจานนี้นอกจากจะทำง่ายและรวดเร็วแล้ว ยังมีส่วนผสมที่ลงตัวซึ่งถูกใจทั้งต่อมรับรสและกระเพาะอาหารด้วยรสชาติที่กลมกล่อม หอมกุนเชียงและทำได้ง่าย ทำให้เป็นเมนูที่หลายคนชื่นชอบปรับสามารถปรับแต่งสูตรได้ตามต้องการ

วัตถุดิบ:
ข้าวหอมมะลิหุงสุก 2 ถ้วย (ควรใช้ข้าวเก่า 1 วันเพื่อให้มีเนื้อสัมผัสที่ดีขึ้น)
กุนเชียง 100 กรัม (หั่นเป็นแผ่นบาง)
หัวหอมเล็ก 1 หัว (สับ)
กระเทียม 2 กลีบ (สับ)
ไข่ 1ฟอง (ตีแล้ว)
ถั่วลันเตาและแครอทแช่แข็ง 1/4 ถ้วย (ไม่จำเป็น)
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนชา
น้ำตาล 1/2 ช้อนชา
ผักชีสด (สำหรับตกแต่ง)
มะนาวฝานเป็นแว่น (สำหรับเสิร์ฟ)
พริกป่นหรือพริกสด (ตามชอบเพื่อความเผ็ดร้อน)

คำแนะนำ:
เตรียมส่วนผสม : เริ่มต้นด้วยการหั่นกุนเชียงเป็นแผ่นบาง ๆ หากใช้ข้าวเก่า 1 วัน ให้บี้ก้อนข้าวที่ติดกันให้แยกออกจากกัน ตีไข่ในชามเล็กแล้วพักไว้

ทอดไส้กรอก : ตั้งน้ำมันหนึ่งช้อนโต๊ะในกระทะขนาดใหญ่หรือกระทะจีนบนไฟปานกลาง ใส่ไส้กรอกจีนหั่นบาง ๆ ลงไปแล้วผัดจนไส้กรอกเริ่มเป็นสีน้ำตาลและปล่อยน้ำมันที่มีรสชาติ ไส้กรอกจะเพิ่มรสชาติหวานและเผ็ดเล็กน้อยให้กับจานอาหาร

ผัดเครื่องปรุง : ใส่กระเทียมสับและหัวหอมสับลงในกระทะพร้อมกับไส้กรอก ผัดจนกระเทียมหอมและหัวหอมนิ่ม

ตีไข่ : ดันส่วนผสมไส้กรอกและหัวหอมไปไว้ด้านหนึ่งของกระทะ แล้วเทไข่ที่ตีแล้วลงไปในช่องว่าง ปล่อยให้ไข่สุกเล็กน้อยก่อนจะตีและผสมกับส่วนผสมอื่นๆ

ใส่ข้าวและผัก : ใส่ข้าวที่หุงสุกแล้วลงในกระทะ โดยแยกก้อนข้าวที่เหลือออก ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน หากคุณใช้ถั่วลันเตาและแครอท ให้ใส่ในขั้นตอนนี้และปรุงจนร้อนทั่ว

ปรุงรส : ใส่ซีอิ๊วขาว น้ำปลา และน้ำตาลลงในส่วนผสมข้าว คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนข้าวมีรสชาติดี ชิมรสและปรับรสตามต้องการ โดยเติมซีอิ๊วขาวหรือน้ำปลาเพิ่มหากต้องการให้เค็ม หรือเติมน้ำตาลเล็กน้อยหากต้องการให้หวาน

เสิร์ฟ : เมื่อผสมทุกอย่างเข้ากันดีและอุ่นให้ร้อนแล้ว ตักข้าวผัดใส่จาน โรยหน้าด้วยผักชีสด และเสิร์ฟพร้อมมะนาวฝานบาง ๆ เพื่อเพิ่มรสชาติเผ็ดร้อน ให้ใส่พริกป่นหรือพริกสดหั่นเป็นแว่น

เหตุใดคุณจึงจะรักมัน: ข้าวผัดกุนเชียงเป็นเมนูที่ผสมผสานรสชาติหวาน เค็ม และเผ็ดได้อย่างลงตัว โดยกุนเชียงทำให้ข้าวมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นเมนูที่อิ่มท้องด้วยกลิ่นหอมของข้าวผัด ไส้กรอกที่เคี้ยวเพลิน และผักกรุบกรอบ ไม่ว่าคุณจะทานเป็นอาหารเช้า อาหารกลางวัน หรืออาหารเย็น ข้าวผัดกุนเชียงก็จะกลายเป็นเมนูโปรดของคุณอย่างแน่นอน

เพลิดเพลินกับความเรียบง่ายแสนอร่อยของข้าวผัดกุนเชียงแบบไทย และปรับแต่งสูตรได้ตามต้องการโดยเพิ่มผักหรือโปรตีนที่คุณชื่นชอบเพื่อความหลากหลายมากขึ้น


5
Doctor At Home: ไอทีพี/เกล็ดเลือดต่ำจากภูมิต้านตัวเอง (Immune thrombocytopenia /ITP)

ไอทีพี/เกล็ดเลือดต่ำจากภูมิต้านตัวเอง หมายถึง ภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่เป็นผลมาจากร่างกายมีปฏิกิริยาภูมิต้านเกล็ดเลือดของตัวเอง ทำให้มีเลือดออกง่าย มีอาการสำคัญคือเกิดจุดแดง จ้ำเขียว ตามผิวหนัง

โรคนี้เดิมมีชื่อว่า "Idiopathic thrombocytopenic purpura/ITP" ปัจจุบันเรียกว่า "Immune thrombocytopenia/ITP" ("Immune thrombocytopenic purpura", "Autoimmune thrombocytopenic purpura", "Autoimmune thrombocytopenia" ก็เรียก)

โรคนี้พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ในเด็กพบบ่อยในช่วงอายุ 2-6 ปี ซึ่งมักเกิดตามหลังการติดเชื้อไวรัส และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่

ส่วนในผู้ใหญ่อาจเกิดหลังติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดและอาจมีอาการนานเกิน 6 เดือน ซึ่งเรียกว่า "ไอทีพีชนิดเรื้อรัง"


สาเหตุ

ผู้ป่วยจะมีการสร้างเกล็ดเลือดที่ไขกระดูกได้ตามปกติ แต่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำเนื่องเพราะร่างกายมีปฎิกิริยาภูมิต้านตัวเองหรือออโตอิมมูน (autoimmune) กล่าวคือ ร่างกายมีการสร้างสารภูมิต้านทานต่อเกล็ดเลือด (platelet antibody) ขึ้นมาทำลายเกล็ดเลือดของตัวเอง ทำให้จำนวนเกล็ดเลือด (ซึ่งทำหน้าที่จับเป็นลิ่มเพื่อการห้ามเลือด) ลดน้อยลง ทำให้มีเลือดออกง่ายและหยุดยาก

ส่วนสาเหตุของการเกิดปฏิกิริยาดังกล่าวยังไม่ทราบชัดเจน ซึ่งเชื่อว่าอาจเกิดจากการติดเชื้อ หรือ การใช้ยาบางชนิด (เช่น ยาปฏิชีวนะ หรือ ยาต้านไวรัส)

พบว่าในเด็ก มักเกิดอาการหลังติดเชื้อไวรัส (เช่น อีสุกอีใส คางทูม ไข้หวัดใหญ่) ส่วนในผู้ใหญ่ อาจถูกกระตุ้นให้เกิดอาการกำเริบด้วยการติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น เอชไอวี ตับอักเสบจากไวรัสซี การติดเชื้อเอชไพโลไรซึ่งทำให้เกิดแผลกระเพาะอาหาร/แผลลำไส้เล็กส่วนต้น)

นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคออโตอิมมูน เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เอสแอลอี มีโอกาสพบโรคนี้มากกว่าคนปกติทั่วไป


อาการ

ผู้ป่วยจะมีเลือดออกง่ายที่ใต้ผิวหนัง ซึ่งมักเกิดขึ้นเองโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ (เช่น การชนหรือกระแทก) เห็นเป็นรอยฟกช้ำดำเขียวขนาดใหญ่ หรือก้อนเลือดขังที่ใต้ผิวหนัง

อาจอยู่ ๆ เกิดจุดแดงหรือจ้ำเขียว (รอยเลือดออกขนาดเล็ก) ขึ้นตามตัว ซึ่งมักพบบ่อยที่หน้าแข้งและเท้า

บางรายอาจมีเลือดออกตามที่ต่าง ๆ  เช่น มีเลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะเป็นเลือด ประจำเดือนออกมากอย่างผิดปกติ เป็นต้น

ถ้ามีบาดแผลเลือดออกที่เกิดจากการบาดเจ็บ การผ่าตัด หรือ ถอนฟัน มักมีเลือดออกมากและหยุดยาก

โดยทั่วไปผู้ป่วยจะไม่มีอาการซีด ยกเว้นถ้ามีเลือดออกมากและนาน

ผู้ป่วยจะไม่มีไข้ ตับม้ามและต่อมน้ำเหลืองไม่โต


ภาวะแทรกซ้อน

ในรายที่มีเลือดออกมากหรือเรื้อรัง อาจเกิดอาการซีด อ่อนเพลีย

สำหรับผู้หญิง ขณะคลอดบุตรอาจมีการตกเลือดหลังคลอดอย่างรุนแรงได้ (แพทย์จะให้ยารักษาขณะฝากครรภ์ เพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอด)

ที่พบได้น้อย แต่มีอันตรายร้ายแรง คือ มีเลือดออกในสมอง (มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก คอแข็งหรือก้มคอไม่ลง ไม่ค่อยรู้สึกตัว ชัก) ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

สิ่งตรวจพบที่สำคัญ ได้แก่ พบจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว รอยฟกช้ำดำเขียวหรือก้อนเลือดขังที่ใต้ผิวหนัง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด ซึ่งจะพบว่ามีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำกว่าปกติ

ในรายที่สงสัยว่าอาจมีการติดเชื้อเอชไอวี ตับอักเสบจากไวรัสซี หรือการติดเชื้อเอชไพโลไร แพทย์ก็จะทำการหาเชื้อพวกนี้

กรณีที่มีความจำเป็นต้องตรวจเพื่อแยกจากสาเหตุอื่น แพทย์อาจทำการตรวจไขกระดูก (ซึ่งจะพบว่าปกติสำหรับโรคนี้)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

ในรายที่มีอาการเล็กน้อย แพทย์จะทำการติดตามสังเกตดูอาการและตรวจเลือดดูปริมาณเกล็ดเลือด โดยไม่ต้องให้ยารักษา ซึ่งส่วนใหญ่มักหายได้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก

ในรายที่มีเลือดออกมาก จะให้เลือดหรือเกล็ดเลือด       

ในรายที่มีอาการรุนแรงหรือเรื้อรัง ซึ่งมักพบในผู้ใหญ่ แพทย์จะรักษาด้วยยาสเตียรอยด์ (เช่น เพร็ดนิโซโลน) แล้วตรวจเลือดสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ถ้าไม่ได้ผล อาจเพิ่มขนาดของยาให้ได้ผล ถ้าได้ผลจะค่อย ๆ ลดขนาดของยาลง จนกระทั่งหยุดยา เมื่อลดยาหรือหยุดยาแล้วกลับมีอาการใหม่ ก็เริ่มให้ยานี้ใหม่อีก ผู้ป่วยส่วนมากจะหายได้ภายใน 2-3 เดือน แต่บางรายอาจเป็นนานเกิน 6 เดือนขึ้นไป

ผู้ป่วยบางรายที่รักษาไม่ได้ผล อาจต้องพิจารณาให้อิมมูโนโกลบูลินฉีดเข้าหลอดเลือดดำ (intravenous immunoglobulin/IVIG) หรือการตัดม้าม เพื่อลดการทำลายเกล็ดเลือด

หากรักษาด้วยวิธีดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ผล อาจต้องรักษาด้วยการให้ยากระตุ้นการสร้างเกล็ดเลือด (เช่น romiplostim, eltrombopag) หรือ ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น วินคริสทีน (vincristine), ไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide), อะซาไทโอพรีน (azathioprine), ไรทูซิแมบ (rituximab) เป็นต้น

ผลการรักษา ในเด็กมักมีอาการไม่รุนแรงและมักหายได้เองภายใน 2-3 สัปดาห์ บางรายอาจเป็น 2-3 เดือน (นานสุดไม่เกิน 6 เดือน) และไม่มีการกำเริบใหม่ ส่วนน้อยที่อาจต้องให้การรักษาแบบเดียวกับที่ใช้ในผู้ใหญ่

ส่วนในผู้ใหญ่ มักจะหายช้ากว่าเด็ก อาจมีอาการนานเป็นเดือนเป็นปี

ถ้ามีอาการนานเกิน 6 เดือน (เป็น "ไอทีพีชนิดเรื้อรัง") อาจจำเป็นต้องให้การรักษาด้วยยา/วิธีการที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น (เช่น การผ่าตัดม้าม) ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงต่าง ๆ ตามมามากขึ้นได้ (เช่น หลังผ่าตัดม้าม มีโอกาสเป็นโรคติดเชื้อง่ายขึ้น) วิธีรักษาเหล่านี้อาจช่วยให้หายขาดได้ แต่บางรายก็อาจเรื้อรังเป็นปี ๆ


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีจุดแดง จ้ำเขียวตามร่างกาย หรือมีรอยฟกช้ำ หรือก้อนเลือดขังที่ใต้ผิวหนัง หรือมีเลือดออกตามที่ต่าง ๆ เช่น มีเลือดกำเดาออก เลือดออกตามไรฟัน ประจำเดือนออกมาก ถ่ายเป็นเลือด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไอทีพี ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่อาจทำให้ได้รับบาดเจ็บ มีเลือดออก
    หลีกเลี่ยงการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    หลีกเลี่ยงการซื้อยากินเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาแก้ปวด (เช่น แอสไพริน) และยาแก้ข้ออักเสบ (เช่น ไอบูโพรเฟน) กินเอง เพราะอาจเสริมให้เลือดออกมากขึ้น


ควรกลับไปพบแพทย์โดยเร็ว ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ซึมมาก หรือ ชัก หรือสงสัยมีเลือดออกในสมอง
    มีเลือดออก ทำการห้ามเลือดเบื้องต้นแล้วเลือดไม่หยุดไหล
    มีไข้สูง อ่อนเพลียมาก หรือ ซีด
    มีประจำเดือนออกมากอย่างผิดปกติ ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะเป็นเลือด
    ประสบอุบัติเหตุ หรือได้รับบาดเจ็บ
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีไข้สูง ลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ)

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผลดี แต่ก็อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสำหรับภาวะที่มีความสัมพันธ์กับโรคไอทีพี อาทิ

    ฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสสำหรับเด็ก เช่น วัคซีนป้องกันโรคคางทูม หัด หัดเยอรมัน อีสุกอีใส
    หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จัด เนื่องจากแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ชะลอการสร้างเกล็ดเลือด
    หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมี (เช่น ยาฆ่าแมลง สารหนู เบนซีน) ซึ่งฤทธิ์ชะลอการสร้างเกล็ดเลือด
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน และไอบูโพรเฟน ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการจับตัวของเกล็ดเลือด (ทำให้เลือดออกง่าย)

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ส่วนมากไม่มีอันตรายร้ายแรง และมีทางรักษาให้หายขาดได้ โดยเฉพาะอย่างในเด็กมักจะหายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยา

ส่วนในผู้ใหญ่ มักหายช้ากว่าเด็ก บางรายอาจเป็นเรื้อรัง นานกว่า 6 เดือน อาจนานเป็นปีๆหรือนับสิบ ๆ ปี ซึ่งสามารถรักษาให้หายหรือมีชีวิตยืนยาวและมีคุณภาพเท่าคนปกติทั่วไปได้

2. ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อยมากแต่มีอันตรายถึงอาจทำให้เสียชีวิตได้ ก็คือ ภาวะเลือดออกในสมอง ผู้ที่เป็นโรคนี้ควรเฝ้าสังเกตอาการของตัวเองให้ดี หากมีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อให้สามารถได้รับการตรวจรักษาภาวะร้ายแรงแต่เนิ่น ๆ และปลอดภัย

6
รถขนของไปต่างจังหวัด รถรับจ้างขนของประจวบคีรีขันธ์ ราคาดีดี บริการ 24 ชม.

อยากจะขนย้ายของจากกทม ไป ประจวบคีรีขันธ์ควรเตรียมตัวอย่างไรและความเหมาะสมของรถรับจ้างควรจะเป็นประเภทอะไร หากใครกำลังกังวลหรือสับสนกับการขนย้ายตลอดกังวลใจในเรื่องของราคา ทุกท่านก็อย่าเพิ่งคิดไปเองเลยนะค่ะ ทางทีมงานขนส่ง รถรับจ้างมีเคล็ดลับดีๆที่จะให้ข้อเสนอแนะกับลูกค้าที่ต้องการจะขนย้ายสินค้า ไม่ว่าจะย้ายคอนโด ย้ายบ้าน ย้ายหอ ย้ายห้อง ย้ายสำนักงาน ย้ายโรงงาน ย้ายออฟฟิศ จากกทม ไปประจวบคีรีขันธ์ หรือจากประจวบคีรีขันธ์

ไปกทม. หรือจะขนย้ายไปในที่ต่างๆ ทางทีมงานมีบริการรถรับจ้างขนย้ายของ ไม่ว่าจะรถรับจ้างกทม. รถกระบะรับจ้างกทม รถหกล้อรับจ้างกทม รถสิบล้อรับจ้างกทม หรือ รถรับจ้างจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รถกระบะรับจ้างจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รถหกล้อรับจ้างจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รถหกล้อรับจ้างจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หรือรถรับจ้างทั่วไปวิ่งบริการรับจ้างทุกเขตพื้นที่ทั่วไทย  สามารถเรียกใช้บริการกับทางทีมงานขนส่ง รถรับจ้างได้เลยค่ะ

การขนย้ายที่ราคาค่าขนย้ายเป็นกันเองราคาไม่แพง ย่อมเยา รวมถึงรับประกันสินค้าเสียหายทุกชิ้นค่ะ ประสบการณ์ทำงานที่สะสมมานาน จะรู้ความตื้นลึกหนาบางของประเภทสินค้าที่จะนำมาขนย้าย สามารถบอกผู้ใช้บริการได้ว่า สินค้าของทางที่จะทำการขนย้ายจะต้องใช้รถชนิดนี้ ประเภทนี้ และรวมไปถึงการบอกค่าใช้จ่ายเบื้องต้นสำหรับการขนย้าย รับรองว่าไม่แพง กับค่าบริการรถรับจ้างขนของแน่ค่ะ  บริการรถรับจ้างขนของประจวบคีรีขันธ์ รถรับจ้างขนย้ายบ้านประจวบคีรีขันธ์

รถรับจ้าง รถกระบะรับจ้างประจวบคีรีขันธ์ รถกระบะขนของประจวบคีรีขันธ์รถหกล้อรับจ้างประจวบคีรีขันธ์ รถรับจ้างทั่วไป รถสิบล้อรับจ้างประจวบคีรีขันธ์ รถเฮี๊ยบรับจ้างประจวบคีรีขันธ์ รถพ่วงรับจ้าง รถเทรลเลอร์รับจ้าง  รถรับจ้างจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บริการ รถรับจ้างขนย้ายบ้านกทม  รถรับจ้าง รถกระบะรับจ้างกทม รถหกล้อรับจ้างกทม รถรับจ้างทั่วไป รถสิบล้อรับจ้างกทม รถเฮี๊ยบรับจ้างกทม รถพ่วงรับจ้าง รถเทรลเลอร์รับจ้าง  รถรับจ้างกทมและทั่วไทยอีกทั้งยังสามารถเรียกใช้บริการกับเราได้ที่นี่เลยทีมงานขนส่ง รถรับจ้าง

• การเรียกหา รถรับจ้างจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หรือ รถรับจ้างกทม จะทำได้ง่ายเพื่อจะอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่มากกว่าที่จะขนย้ายเอง ลองโทรมาสิค่ะ ทางทีมงานยินดีให้คำปรึกษา รับรองถึงคุณภาพสุดคุ้ม ราคาสุดประหยัดแน่นนอน 100%เปิดให้บริการตลอด 24 ชม.

• ถ้าต้องการขนย้ายของ ย้ายบ้าน ย้ายสินค้าใช้ รถรับจ้างจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รถรับจ้างกทมและรัถรับจ้างทั่วไปเรา พร้อมให้บริการรถรับจ้างขนย้าย ขนย้ายบ้าน ขนย้ายคอนโด ย้ายเฟอร์นิเจอร์ ย้ายหอ ย้ายสินค้าอุปโภคบริโภค ย้ายสินค้าการเกษตรทุกชนิดโดยที่ของจะมีปริมาณที่น้อย หรือปริมาณที่มาก เราพร้อมยินดีที่จะรับใช้ลูกค้าทุกท่านโดยไม่เลือกงาน เพราะงานการขนย้ายของคุณเมื่อให้ทีมงานเราดูแลทุกท่านอย่างดี

7
รถรับจ้างย้ายบ้าน รถรับจ้างทั่วไปจังหวัดนครราชสีมา รับจ้างขนของทุกชนิด ราคาถูก ต่อรองได้ กระบะ 6ล้อ

บริการของขนส่ง รถรับจ้างทั่วไปในนครราชสีมา 24 ชม.

งานบริการ รถรับจ้างทั่วไปจังหวัดนครราชสีมา ที่การขนย้ายที่สามารถขนของอะไรก็ได้ ไม่จำกัด และรถรับจ้างก็มีหลายประเภท ลูกค้าจึงสามารถกำหนดได้อย่างสะดวก เรามีความครอบคลุมการบริการที่คุณมาหาที่นี่ที่เดียวแล้วจบ เพราะเรามีทั้ง รถรับจ้างขนของนครราชสีมา และ พนักงานยกของ เพื่อยกสินค้าให้กับคุณ ไม่ว่าจะเป็น ใช้ รถกระบะรับจ้างทั่วไปนครราชสีมา ที่จะ ย้ายหอ ย้ายเฟอร์นิเจอร์ ขนย้ายเครื่องจักรโคราช ย้ายแค้มป์งานก่อสร้าง แต่ถ้าเป็น รถหกล้อรับจ้างทั่วไปนครราชสีมา ก็จะเป็นงาน รับจ้างย้ายบ้านโคราช ขนย้ายต้นไม้ ขนของวัสดุก่อสร้าง ขนย้ายเฟอร์จิเจอร์ เป็นต้น ถ้า รถ10ล้อรับจ้างโคราช ขนย้ายสินค้าการเกษตร ขนย้ายไซต์งานก่อสร้าง นอกจากนี้ก็มี รถเฮี๊ยบรับจ้างโคราช รถเทรลเลอร์รับจ้างโคราช ซึ่งบริการหลักๆของเรา จะมีประมาณนี้

   
บริการ รถกระบะรับจ้างนครราชสีมา และคนยกของ :

รถรับจ้างนครราชสีมา ให้บริการ รถกระบะรับจ้างจังหวัดนครราชสีมา ขนของ และ คนยกของที่พร้อมจะขนย้ายด้วยลักษณะงานทั่วไป โดยที่เราจะมีบริการให้อย่างดีที่สุด ย้ายบ้าน ย้ายคอนโด ย้ายห้องพัก ย้ายที่อยู่ขนส่ง เราก็พร้อม ที่สำคัญ คนยกของๆเรามีประสบการณ์เป็นอย่างดีในการ รับจ้างขนของในโคราช มาก เชื่อใจและปลอดภัยแน่นอน ทั้งการยกของเช่น ตู้เย็น เตียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ตู้เสื้อผ้า มอเตอร์ไซค์ อุปกรณ์การผลิต และ ยกวัสดุก่อสร้าง รถกระบะรับจ้างนครราชสีมา ของเราพร้อมบริการคุณทุกคน

   
ขนของแค้มป์งานก่อสร้างโคราช :

สำหรับผู้ที่ทำงานในโครงการก่อสร้าง รถรับจ้างทั่วไปโคราช มีบริการขนย้ายแค้มป์งานก่อสร้าง ทั้งการขนย้ายบ้านพักคนงาน ซึ่งสินค้าที่จะย้ายนั้นมีจำนวนมาก น้ำหนักเยอะ เเละต้องใช้เวลานานในการขนย้ายเพราะมีทั้ง อุปกรณ์การก่อสร้าง และเครื่องมือที่จำเป็น ทำให้การเคลื่อนย้ายจากไซต์งานหนึ่งไปยังอีกไซต์งานหนึ่งเป็นเรื่องง่ายเมื่อใช้บริการของขนส่ง

   
รถรับจ้างขนย้ายสินค้านครราชสีมา :

การที่ รถรับจ้างขนย้ายสินค้านครราชสีมา มีการเรียกใช้บริการที่บ่อยเป็นเพราะ โคราชเป็นเมืองอุตสาหกรรม และโรงงานเยอะมาก จึงทำให้มีกิจการค้าขายมาก และต้องการย้ายร้านมากเช่นเดียวกัน เราจึงมี ทั้ง รถกระบะรับจ้างขนของโคราช รถ6ล้อรับจ้างโคราช รถ10ล้อรับจ้างโคราช รถขนของโคราช ที่คอย support ให้กับคุณอยู่ตลอดเวลา จากที่หนึ่งไปยังอีกที่ หรือจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคเป็นสิ่งที่สำคัญ รถรับจ้างทั่วไปให้บริการขนย้ายสินค้าที่หลากหลาย เช่น ทั้งสินค้าการเกษตร สินค้าอุปโภคบริโภค และวัตถุดิบต่าง ๆ ของการขนย้ายสินค้านั่นเอง

   
ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ จังหวัดนครราชสีมา :

การที่มี รถรับจ้างขนย้ายเฟอร์นิเจอร์จังหวัดนครราชสีมา เป็นอีกหนึ่งบริการที่ได้รับความนิยม เพราะเมื่อมีการย้ายบ้าน หรือ ซื้อบ้านใหม่โครงการต่างๆ สิ่งที่ขาดไม่ได้อย่างแน่นอนนั่นก็คือการที่เราต้องเสียเงินการการแต่งบ้าน การซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านนั่นเอง จึงเกิดมีการจ้างงานในการ ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ที่บ่อยมากขึ้น โดยใช้ รถกระบะรับจ้างย้ายเฟอร์นิเจอร์โคราช ถ้าสินค้าชิ้นไม่ใหญ่ แต่ถ้าชิ้นใหญ่ก็ต้องใช้ รถ6ล้อรับจ้างขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ จังหวัดนครราชสีมา แทนนั่นเอง รถรับจ้างทั่วไปมีความสามารถในการขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ทุกขนาด พร้อมบริการจัดวางในตำแหน่งที่ต้องการอย่างเรียบร้อย ซึ่งบริการนี้ขนส่ง เราบริการท่านอย่างดีและเชี่ยวชาญมากที่สุดเลยก็ว่าได้


ขนย้ายเครื่องจักรจังหวัดนครราชสีมา :

สำหรับโรงงาน ที่ธุรกิจที่ต้องการขนย้ายเครื่องจักร หนัก รถรับจ้างขนย้ายเครื่องจักรจังหวัดนครราชสีมา ของเราๆมีอุปกรณ์ที่ช่วยยก และทีมงานที่มีประสบการณ์ในการขนย้ายเครื่องจักรอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ทั้งการยก การขนส่ง และการติดตั้งใหม่ ซึ่งส่วนมากจะใช้ รถ10ล้อรับจ้างขนย้ายเครื่องจักร รถเฮี๊ยบรับจ้างขนย้ายเครื่องจักร รถ6ล้อรับจ้างขนย้ายเครื่องจักร ขึ้นอยู่กับลูกค้าต้องการแบบไหน

   
รถรับจ้างขนย้ายต้นไม้จังหวัดนครราชสีมา :

สำหรับคนรักต้นไม้ รักธรรมชาติและต้องการอยากให้สวนหรือบ้านของเราสวยมีความร่มรื่น มองไปทางไหนก็สบายตา จึงต้องซื้อต้นไม้และจ้าง รถรับจ้างขนย้ายต้นไม้ ในจังหวัดนครราชสีมา มาช่วยในการขนย้ายขนย้ายต้นไม้ขนาดใหญ่ หรือการขนย้ายต้นไม้ในสวนสาธารณะ รถรับจ้างย้ายต้นไม้ในนครราชสีมา ของขนส่ง ให้บริการขนย้ายต้นไม้ที่มีขนาดและชนิดต่าง ๆ อย่างดีและด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้ต้นไม้คงสภาพและไม่เสียหายในระหว่างการขนส่ง มั่นใจเราได้เลย

   
ข้อดีของการใช้บริการ รถรับจ้างทั่วไปนครราชสีมา

    ขนย้ายได้ทุกงาน : โดยไม่จำกัดว่าจะขนย้ายอะไร ทำให้เราสะดวก ไม่ต้องกังวลในการหารถ เพราะที่นี่เขามีรถไว้รองรับซึ่งต่างจากที่อื่นแน่นอน มาที่เดียวจบเลย
    ความง่ายสะดวกสบาย : ไม่ต้องกังวลเรื่องการหายานพาหนะหรือทีมงานในการขนย้าย เพราะเรามี รถรับจ้างขนของ มากมายที่คอยสแตนบายรอรับงานคุณอย่างเพียงพอ ทุกบริการสามารถจัดการได้ในที่เดียว
    ประหยัดเวลาและแรงงาน : ขนส่ง เราคือทีมงานมืออาชีพมีประสบการณ์ในการขนของ ทำให้การขนย้ายของของคุณนั้น รวดเร็วและมีความปลอดภัย กล้ารับประกัน
    ความปลอดภัยของทรัพย์สิน : บริการที่มีมาตรฐานมีอุปกรณ์ safety ป้องกันความเสียหายของสินค้าเป็นอย่างดี
    ราคาไม่แพง : บริการรถรับจ้าง ของเรามีการแข่งขันราคาให้ถูกและคุ้มเงินกับลูกค้าอย่างดที่สุด ที่สามารถต่อรองราคาได้อีกด้วย

รถรับจ้างทั่วไปในจังหวัดนครราชสีมา เป็นบริการที่ครบวงจรและตอบโจทย์ทุกความต้องการของการขนย้ายในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการยกของด้วยพนักงานยกสินค้าที่เก่ง ขนย้ายแค้มป์งานก่อสร้าง สินค้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องจักร หรือต้นไม้ บริการเหล่านี้ช่วยให้การขนย้ายเป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ด้วย รถกระบะรับจ้างขนของนครราชสีมา รถหกล้อรับจ้างขนของนครราชสีมา รถสิบล้อรับจ้างขนของนครราชสีมา รถรับจ้างขนของนครราชสีมา รถรับจ้างขนย้ายบ้านนครราชสีมา รถ4ล้อรับจ้างขนของนครราชสีมา รถเฮีียบรับจ้างขนของนครราชสีมา รถเทรลเลอร์รับจ้างขนของนครราชสีมา เป็นต้น โทรหาเราได้เลย

8
การจัดฟันเด็ก มีกี่แบบ

การจัดฟันในเด็ก เป็นการรักษาทางทันตกรรมอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ช่วยแก้ไขปัญหารูปร่างฟันและลักษณะของฟันที่ขึ้นผิดปกติ ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่มักจะพบได้บ่อยในเด็ก เนื่องจากเด็กๆหลายคนชื่นชอบการรับประทานของหวาน เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดฟันผุ ถ้าหากเด็กดูแลรักษาความสะอาดหรือแปรงฟันไม่สะอาด ดังนั้น หากปล่อยไว้นานๆ และยังมีพฤติกรรมการรับประทานสิ่งเหล่านี้ ก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดการสูญเสียฟันได้ในที่สุด เมื่อเกิดการสูญเสียฟันแล้ว

แน่นอนว่า ต้องมีปัญหาฟันอื่นๆตามมาอีกแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการเกิดฟันห่าง เพราะมีช่องว่างระหว่างฟัน หรือฟันล้ม ซึ่งปัญหานี้ก็ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเด็กได้อีกด้วย เพราะอาจจะทำให้การรับประทานเป็นอุปสรรค เพราะเนื่องจากมีฟันที่ไม่สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ หรือแม้กระทั่งการทำความสะอาดช่องปากและฟันที่อาจจะส่งผลทำให้ทำความสะอาดฟันได้ไม่ทั่วถึง

เพราะฉะนั้น เด็กที่มีปัญหาเหล่านี้ควรที่จะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ซึ่งจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาฟันได้ และทำให้เด็กกลับมามีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ช่วยทำให้สามารถใช้ชีวิตประจำได้ด้วยความมั่นใจมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การจัดฟันในเด็กนั้น ก็มีด้วยกัน 2 แบบ นั่นก็คือ การจัดฟันในเด็กที่สวมใส่เครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่น เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 12-15 ปี ที่มีฟันแท้ขึ้นครบแล้ว และอีกแบบหนึ่งเป็นการจัดฟันในเด็กด้วยเครื่องมือการจัดฟันที่เรียกว่า EF Line ซึ่งสามารถรักษาปัญหาฟันได้ในเด็กที่มีอายุ 4-15 ปี เลยทีเดียว สำหรับวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องของการจัดฟันในเด็ก ทั้ง 2 รูปแบบ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นแนวทางให้พ่อแม่ผู้ปกครองที่กำลังสนใจในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก

สำหรับการจัดฟันในเด็กแบบแรกที่เราจะมาพูดถึงนั่นก็คือการจัดฟันในเด็ก EF Line ซึ่งเป็นการจัดฟันที่มีเครื่องมือการจัดฟันเป็นชิ้นยางที่มีหลากหลายสี ให้เด็กสามารถเลือกสีที่ชอบได้ โดยเหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 4-15 ปี เป็นนวัตกรรมรูปแบบใหม่  โดยอาศัยแรงที่ได้จากกล้ามเนื้อให้เกิดการปรับโครงสร้างกระดูกของใบหน้าให้มีการเรียงตัวของฟันที่สวยงามมากยิ่งขึ้น ซึ่งในการจัดฟัน EF LINE ทำให้เด็กๆสามารถสนุกและเพลิดเพลินไปกับการใช้เครื่องมือการจัดฟันได้และการจัดฟัน EF LINE สามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องของการดูดนิ้วของเด็ก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นในเด็ก ที่ส่งผลทำให้เกิดฟันห่าง ฟันยื่นและฟันเรียงตัวไม่สวยงาม เหมาะสำหรับเด็กที่มีอาการนอนกรน นอนกัดฟันและมีอาการปวดขากรรไกร

ซึ่งการจัดฟัน EF LINE นั้นจะช่วยเรียงตัวของฟันให้สวยงาม แก้ไขปัญหาฟันห่าง ช่วยแก้ไขในเรื่องของการนอนกัดฟัน นอนกรนในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังส่งผลทำให้เด็กมีพัฒนาการในการเจริญเติบโตได้ดีอีกด้วย สำหรับการสวมใส่เครื่องมือในช่วงเวลากลางคืนหรือขณะนอนหลับควรให้เด็ใส่เครื่องมือเป็นเวลา 10 ชั่วโมงและในเวลากลางวันให้ใส่ 2 ชั่วโมง ซึ่งในระหว่างการสวมใส่เครื่องมือจัดฟัน EF LINE ไม่ควรเคี้ยวเล่นหรือพูดคุยขณะใส่เครื่องมือ และควรดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับปากของเด็กด้วย สำหรับเครื่องมือการจัดฟัน EF LINE นั้นสามารถใช้แก้ปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานที่ผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้นรวมถึงการจัดฟันให้เรียงตัวอยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็นได้

ต่อมาการจัดฟันในเด็ก แบบสวมใส่เครื่องมือแบบติดแน่น เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 12 -15 ปีที่มีฟันแท้ขึ้นครบแล้ว เหมาะสำหรับเด็กที่มีการสบฟันที่ผิดปกติ เช่นฟันซ้อนหรือฟันขึ้นผิดตำแหน่ง เด็กที่มีฟันสบลึกหรือฟันสบคร่อม เด็กที่มีปัญหาเหล่านี้เหมาะที่จะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาการเรียงตัวของฟันที่ไม่สวยงาม นอกเหนือจากเรื่องของความสวยงามแล้ว ยังทำให้เด็กยิ้มได้อย่างมั่นใจเพราะการจัดฟันในเด็กยังสามารถช่วยทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถทำความสะอาดฟันหรือแปรงฟันได้ง่ายขึ้น ช่วยรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งแน่นอนว่าการจัดฟันในเด็กนั้นทำให้มีผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการจัดฟันตอนโตและยังมีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้น้อยกว่าการจัดฟันแบบผู้ใหญ่ด้วย หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากให้บุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สาสมารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ทีคลินิกเพราะทางเราอยากให้เด็กทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ได้รับการรักษาที่มีความปลอดภัย โดยทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า เด็กจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้น มีรอยยิ้มที่น่ารักสมวัยมากยิ่งขึ้น

9
การบำรุงรักษาระบบท่อลมร้อน

การบำรุงรักษาระบบท่อลมร้อนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ระบบระบายอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยมีขั้นตอนและข้อควรระวังดังนี้:

1. การตรวจสอบเป็นประจำ

การตรวจสอบด้วยสายตา:
ตรวจสอบท่อลมอย่างละเอียดเพื่อหารอยแตก รอยร้าว หรือรอยต่อที่ไม่สนิท
ตรวจสอบบริเวณรอบๆ ท่อลมเพื่อหารอยคราบหรือรอยเปื้อน ซึ่งอาจเกิดจากการรั่วซึม

การตรวจสอบด้วยมือ:
สัมผัสบริเวณรอยต่อหรือรอยแตกของท่อลม เพื่อตรวจจับลมที่รั่วออกมา
สัมผัสบริเวณท่อลมเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิ หากพบว่าบางบริเวณมีอุณหภูมิแตกต่างจากบริเวณอื่นอย่างชัดเจน แสดงว่าอาจมีการรั่วซึม

การตรวจสอบด้วยอุปกรณ์:
ใช้เครื่องวัดความดันเพื่อตรวจสอบความดันภายในท่อลม
ใช้เครื่องวัดการไหลของอากาศเพื่อตรวจสอบปริมาณลมที่ไหลผ่านท่อลม
ใช้เครื่องตรวจจับรอยรั่ว (Leak Detector) เพื่อตรวจจับการรั่วไหลของอากาศหรือก๊าซ

2. การทำความสะอาด
ทำความสะอาดท่อลม: ทำความสะอาดท่อลมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นละอองและสิ่งสกปรก ซึ่งอาจทำให้การไหลของอากาศไม่สะดวก
ทำความสะอาดพัดลม: ทำความสะอาดพัดลมดูดอากาศ เพื่อให้พัดลมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. การซ่อมแซม
ซ่อมแซมรอยรั่ว: หากพบรอยรั่ว ควรซ่อมแซมทันที เพื่อป้องกันการสูญเสียพลังงานและรักษาประสิทธิภาพของระบบ
เปลี่ยนชิ้นส่วนที่ชำรุด: หากพบชิ้นส่วนที่ชำรุด ควรเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ เพื่อป้องกันอันตรายและรักษาประสิทธิภาพของระบบ

4. การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน
ตรวจสอบและปรับแต่งอุปกรณ์ควบคุม: ตรวจสอบและปรับแต่งอุปกรณ์ควบคุม เช่น เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ หรือเซ็นเซอร์ตรวจจับสารเคมี เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ทำงานได้อย่างถูกต้อง
ตรวจสอบฉนวนกันความร้อน: ตรวจสอบฉนวนกันความร้อนรอบท่อลม เพื่อให้มั่นใจว่าฉนวนยังอยู่ในสภาพดี และไม่มีรอยชำรุด

5. ข้อควรระวัง
ความปลอดภัย: ควรปิดระบบระบายอากาศก่อนทำการบำรุงรักษา เพื่อป้องกันอันตรายจากความร้อนและแรงดัน
อุปกรณ์ป้องกัน: สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน เช่น ถุงมือ แว่นตา และหน้ากาก เพื่อป้องกันอันตรายจากวัสดุและสารเคมี
ผู้เชี่ยวชาญ: หากไม่มั่นใจในการบำรุงรักษา ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขอคำแนะนำหรือให้ทำการบำรุงรักษา

6. คำแนะนำเพิ่มเติม
ควรมีการบันทึกข้อมูลการบำรุงรักษา เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบและวางแผนการบำรุงรักษาในอนาคต
ควรมีการฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจในการบำรุงรักษาระบบท่อลมร้อน

ควรมีการจัดทำแผนการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน เพื่อให้มั่นใจว่าระบบท่อลมร้อนได้รับการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ
การบำรุงรักษาระบบท่อลมร้อนอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ลดการสูญเสียพลังงาน และยืดอายุการใช้งานของระบบ

10
คนทั่วไป สามารถใช้ อาหารสายยาง อาหารทางการแพทย์ได้หรือไม่

อาหารทางการแพทย์ คือ อาหารประเภทหนึ่งที่ถูกพัฒนาเพื่อนำมาบริโภคทางปากหรือการให้อาหารทางสายยาง สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้หรือผู้ป่วยที่หมดสติภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ โดยอาหารเหล่านี้จะมีสัดส่วนของสารอาหารที่เหมาะสมและมีวิตามินแร่ธาตุครบถ้วน สามารถใช้แทนอาหารทั่วไปสำหรับผู้ที่ไม่สามารถรับประทานอาหารทางปากได้ ซึ่งอาหารทางการแพทย์นั้นจะใช้เฉพาะ ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคและมีการกำหนดสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับเพื่อไม่ให้น้อยหรือมากจนเกินไป อาหารทางการแพทย์แบ่งเป็นสองประเภทหลักๆ คืออาหารทางการแพทย์โดยทั่วไป และ อาหารทางการแพทย์โดยเฉพาะโรค ซึ่งจะเหมาะสมกับผู้ป่วยเฉพาะโรคต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น

    โรคเบาหวาน
    โรคไตเรื้อรัง
    โรคมะเร็ง

แต่อาหารทางการแพทย์โดยทั่วไป จะมีสัดส่วนของสารอาหารคือคาร์โบไฮเดรต 40-60% ของพลังงานรวมโปรตีนประมาณ 15-25 ไขมัน 15-35 ซึ่งจะสอดคล้องกับคำแนะนำการบริโภคอาหารของคนทั่วไป นอกจากนี้อาหารทางการแพทย์จะมีการผสมวิตามินและแร่ธาตุอย่างครบถ้วนเมื่อผู้ป่วยรับประทานเข้าไปอาหารทางการแพทย์จะให้พลังงานวันละ 1000-1500 กิโลแคลอรีซึ่งจะได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน

มีคนสงสัยว่า อาหารทางการแพทย์นั้น คนทั่วไปสามารถรับประทานได้หรือไม่ ต้องบอกก่อนว่าอาหารทางการแพทย์สามารถใช้เป็นอาหารหลักแทนอาหารในแต่ละมื้อได้สำหรับผู้ที่รับประทานอาหารไม่ได้ เช่น ผู้ป่วยอัมพาต รวมถึงผู้ป่วยที่ไม่สามารถย่อยหรือดูดซึมสารอาหารได้ โดยสามารถป้องกันการขาดสารอาหารด้วย ทั้งยังช่วยลดอาการแทรกซ้อนและอัตราการเสียชีวิตได้ เนื่องจากร่างกายถ้าขาดสารอาหารที่จำเป็น ก็จะส่งผลทำให้ทุกๆการลดลงไปด้วย สำหรับอาหารทางการแพทย์นั้น สามารถใช้เป็นอาหารเสริมเพื่อเพิ่มพลังงานให้แก่ผู้ที่รับประทานอาหารได้ตามปกติ แต่มีปริมาณและพลังงานไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้ป่วยหลังผ่าตัด ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด ซึ่งอาจจะมีอาการข้างเคียงคือ อาจจะทำให้ไม่เจริญอาหารเบื่ออาหารหรือรับประทานอาหารหลักได้น้อยลง

ซึ่งแพทย์จะทำการพิจารณาให้ใช้อาหารทางการแพทย์เป็นอาหารเสริมเพื่อเพิ่มพลังงานและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เพื่อทำให้การรักษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้ง ยังสร้างคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ป่วยด้วย แต่อย่างไรก็ตามอาหารทางการแพทย์แม้จะมีข้อดีและประโยชน์มากมายแต่ก็ไม่ได้เหมาะสมกับทุกคน กล่าวคือทุกคนไม่สามารถใช้ได้ หากต้องการใช้อาหารทางการแพทย์ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์อย่างละเอียดเพื่อที่จะได้รับประทานอาหารอย่างถูกต้องและเหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย แต่หากเรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงแล้วหรือรับประทานอาหารได้ตามปกติสามารถบดเคี้ยวอาหารได้ดีและรับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่เป็นประจำ มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาหารทางการแพทย์ก็ไม่ได้มีความจำเป็นเพราะการรับประทานอาหารจากธรรมชาติอาหารทั่วไปจะช่วยป้องกันการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆได้

 อาหารทางการแพทย์ มีสารอาหารมากมายมีหลากหลายชนิด แม้จะมีประโยชน์ต่อร่างกายแต่ก็มีใยอาหารที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งร่างกายของเราด้วยปกติต้องการมากกว่าวันละ 20 กรัม แต่ก็ยังมีข้อยกเว้น สำหรับผู้ที่มีสุขภาพดีที่บางครั้งต้องเร่งรีบในการทำงานและไม่มีเวลารับประทานอาหาร เพราะฉะนั้นการดื่มอาหารทางตามแพทย์เป็นการทดแทนเป็นอาหารบางมื้อนั้น ก็สามารถทำได้แต่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารและพลังงานทดแทน แต่ก็ควรเป็นทางเลือกที่ 2 รอง จากการรับประทานอาหารหลักปกติและเมื่อต้องใช้อาหารทางการแพทย์ ควรจะเลือกชนิดให้ถูกต้องเพราะร่างกายของแต่ละคนมีความการสารอาหารไม่เหมือนกันและอาหารทางการแพทย์แต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป

ดังนั้น จึงไม่ควรซื้ออาหารทางการแพทย์มาใช้เอง โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์เพราะจะทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายเช่น ร่างกายอาจจะไม่ได้รับสารอาหารที่สมดุล หากซื้ออาหารทางการแพทย์มารับประทานเอง อาจจะทำให้เกิดโทษได้แรงสองร่างกายได้ ดังนั้นถ้าเราสนับสนุนให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเพื่อทำให้ร่างกายมีความแข็งแรง มีสุขภาพที่ดีและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข อีกทั้งยังช่วยทำให้ร่างกายของเราห่างไกลจากโรคต่าง ๆได้อีกด้วย

11
หมอออนไลน์: โรคมือ-เท้า-ปาก (Hand-foot-and-mouth disease)

โรคมือ-เท้า-ปาก เป็นไข้ออกผื่นชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งติดต่อได้ง่าย มักมีอาการไม่รุนแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่

ในบ้านเรามีรายงานผู้ป่วยโรคนี้ประมาณปีละ 1,500-3,000 ราย ส่วนใหญ่พบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี บางครั้งพบระบาดตามสถานรับเลี้ยงเด็กเล็ก และโรงเรียนอนุบาล

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อกลุ่มไวรัสเอนเทอโร (enterovirus) ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ ค็อกแซกกีเอและบี (coxsackie A, B) ไวรัสเอนเทอโรชนิด 71 ส่วนใหญ่ติดต่อจากการกินอาหาร น้ำดื่ม หรือการดูดเลียนิ้วมือ หรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อที่ออกมากับอุจจาระ น้ำเหลืองจากตุ่มน้ำที่ผิวหนัง หรือละอองน้ำมูกน้ำลายของผู้ป่วย นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อโดยการสูดเอาฝอยละอองน้ำมูกน้ำลายที่ผู้ป่วยไอจามรด

ที่พบบ่อยที่สุด คือการติดเชื้อไวรัสค็อกแซกกีเอ ชนิด 16 ซึ่งอาการมักจะไม่รุนแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่

ที่พบน้อยแต่รุนแรง คือการติดเชื้อไวรัสเอนเทอโรชนิด 71 ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงตายได้

ระยะฟักตัว 3-7 วัน

อาการ

แรกเริ่มผู้ป่วยจะมีอาการไข้ และอาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหารร่วมด้วย หลังจากนั้น 1-2 วัน จะมีน้ำมูก เจ็บปาก เจ็บคอ ไม่ยอมดูดนม ไม่อยากกินอาหาร เด็กเล็กอาจร้องงอแง ตรวจดูในช่องปากจะพบมีจุดนูนแดง ๆ หรือมีน้ำใสอยู่ข้างใต้ ขึ้นตามเยื่อบุปาก ลิ้น และเหงือก ซึ่งต่อมาจะแตกกลายเป็นแผลตื้น ๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4-8 มม. ซึ่งเจ็บมาก

ขณะเดียวกันก็มีผื่นขึ้นที่มือและเท้า บางรายขึ้นฝ่ามือ ฝ่าเท้า ซอกนิ้วมือ หรือแก้มก้น ตอนแรกขึ้นเป็นจุดแดงราบก่อน แล้วกลายเป็นตุ่มน้ำตามมา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3-7 มม.

อาการไข้มักเป็นอยู่ประมาณ 3-4 วันก็ทุเลาไปเอง แผลในปากมักหายได้เองภายใน 7 วัน ตุ่มที่มือและเท้าจะหายเองภายใน 10 วัน และมักไม่เป็นแผลเป็น

ในรายที่เป็นรุนแรง (ซึ่งพบเป็นส่วนน้อย) อาจมีอาการปวดศีรษะรุนแรง อาเจียนรุนแรง ซึม ไม่ค่อยรู้ตัว ชัก แขนขาอ่อนแรง หรือหายใจหอบ

ภาวะแทรกซ้อน

ในรายที่มีอาการคัน อาจเกาจนติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน กลายเป็นตุ่มหนอง พุพอง

อาจมีภาวะขาดน้ำ เนื่องจากเจ็บแผลในปากจนดื่มน้ำได้น้อย

บางรายอาจมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งมักไม่รุนแรง และหายได้เองภายใน 10 วัน

ที่รุนแรงแต่พบได้น้อย ได้แก่ สมองอักเสบ ภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) หรือเลือดออกในปอด กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) ซึ่งอาจรุนแรงถึงตายได้

ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงมักเกิดในกลุ่มที่ติดเชื้อไวรัสเอนเทอโรชนิด 71 (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา มีรายงานการระบาดและการตายของเด็กเล็กที่ติดเชื้อชนิดนี้ในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง ออสเตรเลีย)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ไข้ 38-39 องศาเซลเซียส

จุดนูนแดง ตุ่มน้ำใส หรือแผลที่เยื่อบุปาก ลิ้นและเหงือก

จุดแดงราบ ตุ่มนูน หรือตุ่มน้ำที่มือ เท้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า แก้มก้น

ในรายที่จำเป็น แพทย์อาจทำการตรวจเชื้อไวรัสจากสิ่งคัดหลั่งที่คอหอย อุจจาระ หรือน้ำเหลืองจากตุ่มน้ำบนผิวหนัง

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ให้การรักษาตามอาการดังนี้

    ให้พาราเซตามอลลดไข้
    ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมาก ๆ จนสังเกตเห็นว่ามีปัสสาวะออกมากและใส ทั้งนี้เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
    ในช่วงที่มีอาการเจ็บแผลในปาก ให้ผู้ป่วยกินอาหารเหลว หรือของน้ำ ๆ (เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด นม น้ำเต้าหู้ ของหวาน) โดยใช้ช้อนป้อน หรือใช้กระบอกฉีดยาค่อย ๆ หยอดเข้าปากแทนการดูดจากขวด (สำหรับทารก) ให้อมน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ดื่มน้ำหรือนมเย็น ๆ กินไอศกรีม หรือบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ (ใส่เกลือแกง 1/2 ช้อนชา ในน้ำอุ่น 1 แก้ว) บ่อย ๆ เพื่อลดอาการเจ็บแผล

2. ถ้าแผลกลายเป็นตุ่มหนอง หรือพุพองจากการเกา ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลินวี อะม็อกซีซิลลิน อีริโทรไมซิน เป็นต้น

3. ถ้าเจ็บแผลในปากมากจนกินอาหารและดื่มน้ำไม่ได้ แพทย์จะให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ และอาจให้ยาชา (เช่น lidocaine, benzocaine) ทาแผลในปากเพื่อลดความเจ็บปวด

4. ถ้าผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะรุนแรง อาเจียนรุนแรง ไม่ค่อยรู้ตัว ชัก แขนขาอ่อนแรง หรือหายใจหอบ แพทย์จะรับไว้ในโรงพยาบาล ทำการตรวจเพิ่มเติมและรักษาตามภาวะแทรกซ้อนที่พบ

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้ร่วมกับมีแผลเปื่อยในปาก (ปากเจ็บ คอเจ็บ) และมีผื่นตุ่มขึ้นที่มือและเท้า ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคมือ-เท้า-ปาก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมาก ๆ จนสังเกตเห็นว่ามีปัสสาวะออกมากและใส ทั้งนี้เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
    ในช่วงที่มีอาการเจ็บแผลในปาก ให้ผู้ป่วยกินอาหารเหลว หรือของน้ำ ๆ (เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด นม น้ำเต้าหู้ ของหวาน) โดยใช้ช้อนป้อน หรือใช้กระบอกฉีดยาค่อย ๆ หยอดเข้าปากแทนการดูดจากขวด (สำหรับทารก) ให้อมน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ดื่มน้ำหรือนมเย็น ๆ กินไอศกรีม หรือบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ (ใส่เกลือแกง 1/2 ช้อนชา ในน้ำอุ่น 1 แก้ว) บ่อย ๆ เพื่อลดอาการเจ็บแผล

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
    มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ซึมมาก ไม่ค่อยรู้สึกตัว เพ้อคลั่ง หรือชัก
    หายใจหอบ หรือเจ็บหน้าอกมาก
    กินอาหารหรือดื่มนมและน้ำได้น้อย หรือมีปัสสาวะออกน้อย
    ผื่นกลายเป็นตุ่มหนองหรือพุพอง
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. ควรแยกผู้ป่วยไม่ให้คลุกคลีกับผู้อื่นประมาณ 2 สัปดาห์ หรือจนกว่าตุ่มแผลต่าง ๆ จะหายดี เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าปิดปากและจมูก

2. ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่หลังถ่ายอุจจาระหรือเปลี่ยนผ้าอ้อม ก่อนเตรียมอาหาร และก่อนเปิบอาหาร

3. หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูด ขวดนม ช้อน ชาม เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ของเล่น เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้

4. ฝึกเด็กให้มีสุขนิสัยที่ดี รวมทั้งหลีกเลี่ยงการนำนิ้วมือหรือของเล่นเข้าปาก

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มักจะวินิจฉัยจากลักษณะอาการ ซึ่งต้องแยกออกจากโรคเริม อีสุกอีใส แผลแอฟทัส พุพอง เป็นต้น (ตรวจอาการ ไข้ร่วมกับมีผื่นหรือตุ่มขึ้น และ ปากเจ็บ/แผลที่ปาก/ลิ้นเป็นฝ้าขาว ประกอบ)

2. ในผู้ใหญ่อาจติดเชื้อโดยไม่มีอาการแสดง แต่สามารถแพร่เชื้อออกมาทางอุจจาระ ดังนั้น ควรป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่นโดยการล้างมือด้วยน้ำกับสบู่หลังถ่ายอุจจาระและก่อนเตรียมอาหาร

3. แม้ว่าโรคนี้มักหายได้เองภายใน 7-10 วัน (เต็มที่ไม่เกิน 2 สัปดาห์) แต่ควรแนะนำให้สังเกตภาวะแทรกซ้อนทางสมอง ปอด และหัวใจอย่างใกล้ชิด หากสงสัยควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว

4. โรคนี้เป็นคนละชนิดกับโรคปากเปื่อยเท้าเปื่อยที่พบในสัตว์ (เช่น โค กระบือ) และไม่ติดเชื้อจากสัตว์ที่ป่วย

12
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


13
ตรวจสุขภาพ: กระดูกพรุน (Osteoporosis)

โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะที่มีปริมาณแร่ธาตุ (ที่สำคัญคือแคลเซียม) ในกระดูกลดลง ร่วมกับความเสื่อมของเนื้อเยื่อที่ประกอบเป็นโครงสร้างภายในกระดูก ทำให้เนื้อหรือมวลกระดูกลดความหนาแน่น จึงเปราะและแตกหักง่าย บริเวณที่พบการหักของกระดูกได้บ่อย ได้แก่ ข้อมือ สะโพก และสันหลัง

โรคที่พบมากในคนสูงอายุ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2 เท่า และผู้ที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคกระดูกพรุน จะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป

สาเหตุ

กระดูกประกอบด้วย โปรตีน คอลลาเจน และแคลเซียม โดยมีแคลเซียมฟอสเฟตเป็นตัวทำให้กระดูกแข็งแรง ทนต่อแรงดึงรั้ง

กระดูกมีการสร้างและสลายตัวอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ ขณะที่มีการสร้างกระดูกใหม่โดยใช้แคลเซียมจากอาหารที่กินเข้าไป ก็มีการสลายแคลเซียมในเนื้อกระดูกเก่าออกมาในเลือดและถูกขับออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ ปกติในเด็กจะมีการสร้างกระดูกมากกว่าการสลาย ทำให้กระดูกมีการเจริญเติบโต มวลกระดูกจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนมีความหนาแน่นสูงสุด เมื่ออายุประมาณ 30-35 ปี หลังจากนั้นจะเริ่มมีการสลายกระดูกมากกว่าการสร้าง ทำให้กระดูกค่อย ๆ บางตัวลงตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงช่วงหลังวัยหมดประจำเดือน ซึ่งมีการลดลงของฮอร์โมนเอสโทรเจนอย่างรวดเร็ว ฮอร์โมนชนิดนี้ช่วยการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายและชะลอการสลายของแคลเซียมในเนื้อกระดูก เมื่อพร่องฮอร์โมนชนิดนี้ก็จะทำให้กระดูกบางตัวลงอย่างรวดเร็ว จนเกิดภาวะกระดูกพรุน

ดังนั้น โรคกระดูกพรุนส่วนใหญ่จึงเกิดจากภาวะหมดประจำเดือนในผู้หญิง (ซึ่งจะเริ่มมีอัตราเร่งของการสลายตัวของกระดูกในช่วง 10-20 ปี หลังหมดประจำเดือน) และความเสื่อมตามอายุที่มีการสะสมอย่างค่อยเป็นค่อยไปและยาวนานของการเสียดุลระหว่างการสร้างและการสลายของกระดูก (พบได้ทั้งชายและหญิงที่มีอายุมากกว่า 75 ปี)

นอกจากนี้ยังอาจพบร่วมกับภาวะอื่น ๆ เรียกว่า กระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิ (secondary osteoporosis) เช่น

    ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน โรคคุชชิง ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานเกิน เบาหวาน โรคปวดข้อรูมาตอยด์ เอลแอลอี โรคตับเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง มะเร็ง (เต้านม เม็ดเลือดขาว ต่อมน้ำเหลือง)
    ภาวะขาดสารอาหารและแคลอรี ภาวะขาดแคลเซียม
    น้ำหนักน้อย (ผอม)
    การใช้ยาติดต่อกันนาน ๆ เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะ (เช่น ฟูโรซีไมด์) ยาลดการสร้างกรดกลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊มป์ (เช่น โอเมพราโซล) ยากันชัก(เช่น เฟนิโทอิน ฟีโนบาร์บิทาล) เฮพาริน หรือใช้ฮอร์โมนไทรอยด์มากเกิน
    การไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายนาน ๆ (เช่น ผู้ป่วยที่นอนแบ็บอยู่บนที่นอนตลอดเวลา) การสูบบุหรี่ (ทำให้เอสโทรเจนในเลือดลดลง)
    การเสพติดแอลกอฮอล์
    การสูบบุหรี่

นอกจากนี้ ยังพบว่าโรคนี้มีความสัมพันธ์กับกรรมพันธุ์ และบางครั้งอาจพบในคนอายุไม่มากโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจนก็ได้

 อาการ

ส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการแสดง จนกระทั่งเกิดภาวะกระดูกหัก ก็จะเกิดอาการเจ็บปวด หรือความผิดปกติของโครงสร้างกระดูก เช่น ปวดข้อมือ สะโพก หรือหลัง (เนื่องจากกระดูกข้อมือ สะโพก หรือสันหลังแตกหัก) ส่วนสูงลดลงจากเดิม (เนื่องจากการหักและยุบตัวของกระดูกสันหลัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว) เป็นต้น

ถ้าเป็นโรคกระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิก็อาจมีอาการแสดงของโรคที่เป็นสาเหตุ

ภาวะแทรกซ้อน

ที่สำคัญคือ กระดูกหัก อาจทำให้เกิดความพิการเดินไม่ได้ หรือหลังโกงหลังค่อม

ในรายที่กระดูกสะโพกหัก ซึ่งมักพบในผู้สูงอายุ ถ้าจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงหลังผ่าตัดได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ถ้ามีภาวะกระดูกหักเฉียบพลัน เช่น ตกจากที่สูง หกล้ม ก็จะตรวจพบอาการเจ็บปวด บวม หรือกระดูกบิดเบี้ยว หรือขยับเขยื้อนไม่ได้

ถ้ากระดูกสันหลังแตกหัก หรือยุบตัวแบบเรื้อรัง (มักเกิดจากแรงกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อย โดยที่ผู้ป่วยอาจไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไร) ผู้ป่วยจะมีส่วนสูงลดลง หรือหลังโกงหลังค่อม

นอกจากนี้อาจตรวจพบอาการของโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิ เช่น ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน โรคคุชชิง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการเอกซเรย์กระดูกตรวจความหนาแน่นของกระดูก (bone mineral density) ด้วยเครื่องตรวจโดยเฉพาะ เช่น การตรวจด้วยวิธี DXA (dual-energy X-ray absorptiometry) การตรวจอัลตราซาวนด์กระดูกส้นเท้า (calcaneal ultrasonography) เป็นต้น นอกจากนี้ อาจทำการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และตรวจพิเศษอื่น ๆ เพื่อค้นหาสาเหตุในรายที่สงสัยว่ามีโรคหรือภาวะอื่นร่วมด้วย

การรักษาโดยแพทย์

สำหรับผู้ป่วยที่มีกระดูกพรุนโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะให้กินแคลเซียม เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต และอาจให้วิตามินดีร่วมด้วย ในรายที่อยู่แต่ในที่ร่ม (ไม่ได้รับแสงแดด) ตลอดเวลา

สำหรับหญิงหลังวัยหมดประจำเดือน แพทย์อาจพิจารณาให้ฮอร์โมนเอสโทรเจนทดแทน

สำหรับผู้ชายสูงอายุที่มีภาวะพร่องฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนร่วมด้วย อาจต้องให้ฮอร์โมนชนิดนี้เสริม

นอกจากนี้ อาจพิจารณาให้ยากระตุ้นการดูดซึมแคลเซียม และ/หรือยาลดการสลายกระดูกเพิ่มเติมแก่ผู้ป่วยบางราย เช่น ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนต (bisphosphonate), แคลซิโทนิน (calcitonin)

หากไม่ได้ผลหรือใช้ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนตไม่ได้ แพทย์อาจให้ยาชนิดใหม่ เช่น ดีโนซูแมป (denosumab), เทริพาราไทด์ (teriparatide)

ผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยาเป็นประจำ แพทย์จะนัดมาตรวจเป็นระยะ อาจต้องทำการตรวจกรองมะเร็งเต้านมและปากมดลูก (สำหรับผู้ที่กินเอสโทรเจน) ปีละ 1 ครั้ง ตรวจความหนาแน่นของกระดูกทุก 2-3 ปี เอกซเรย์ในรายที่สงสัยมีกระดูกหัก เป็นต้น

ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น กระดูกหัก ก็ให้รักษา เช่น การเข้าเฝือก การผ่าตัด การทำกายภาพบำบัด เป็นต้น

ในรายที่มีโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิ ก็ให้การรักษาไปพร้อม ๆ กัน

การดูแลตนเอง

ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ หญิงวัยหมดประจำเดือน (วัยทอง) ผู้ที่ใช้ยาบางชนิดนาน ๆ (เช่น ยาสเตียรอยด์ ยากันชัก) เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจกรองโรคกระดูกพรุน

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคกระดูกพรุน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    งดบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด
    ระมัดระวังอย่าให้หกล้มหรือเกิดอุบัติเหตุ ทำให้กระดูกหัก เช่น แก้ไขภาวะความดันตกในท่ายืน หรือสายตามัว (เช่น ต้อกระจก) หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้ง่วงนอน หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง (เช่น ยากล่อมประสาท) และควรจัดสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้ปลอดภัย (เช่น บันไดที่ขึ้นลง แสงสว่าง ห้องน้ำ พื้นต่างระดับ ราวเกาะยึด เป็นต้น)

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการปวดข้อ หรือปวดหลังเฉียบพลัน หรือสงสัยกระดูกหัก
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. กินแคลเซียมให้เพียงพอทุกวัน* อาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ นม เนยแข็ง ปลาที่กินได้ทั้งกระดูก (เช่น ปลาไส้ตัน) กุ้งแห้ง เต้าหู้แข็ง ถั่วแดง ผักสีเขียวเข้ม (เช่น คะน้า ใบชะพลู) งาดำคั่ว

แนวทางปฏิบัติ สำหรับเด็กและวัยรุ่นควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุดื่มนมวันละ 1-2 แก้วเป็นประจำ จะทำให้ได้รับแคลเซียมร้อยละ 50 ของปริมาณที่ต้องการ ส่วนแคลเซียมที่ยังขาดให้กินจากอาหารแหล่งอื่น ๆ ประกอบ

ผู้ใหญ่บางคนที่มีข้อจำกัดในการดื่มนม (เช่น มีภาวะไขมันในเลือดสูง อ้วน เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด) ให้เลือกกินเนยแข็ง นมเปรี้ยว นมพร่องมันเนย แทน หรือบริโภคอาหารที่มีแคลเซียมสูงในแต่ละมื้อให้มากขึ้น

2. ออกกำลังกายเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกำลังที่มีการถ่วงหรือต้านน้ำหนัก (weight bearing) เช่น การเดิน การวิ่ง เต้นแอโรบิก กระโดดเชือก รำมวยจีน เต้นรำ เป็นต้น ร่วมกับการยกน้ำหนัก จะช่วยให้มีมวลกระดูกมากขึ้น และกระดูกมีความแข็งแรง ทั้งแขน ขา และกระดูกสันหลัง

3. รับแสงแดด ช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดี ซึ่งเป็นฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างกระดูก ในบ้านเราคนส่วนใหญ่จะได้รับแสงแดดเพียงพออยู่แล้ว นอกจากในรายที่อยู่แต่ในบ้านตลอดเวลา ก็ควรจะออกไปรับแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าหรือยามเย็น วันละ 10-15 นาที สัปดาห์ละ 3 วัน ถ้าอยู่แต่ในที่ร่ม ไม่ถูกแสงแดด อาจต้องกินวิตามินดีเสริม

4. รักษาน้ำหนักตัวอย่าให้ต่ำกว่าเกณฑ์ (ผอมเกินไป) เพราะคนผอมจะมีมวลกระดูกน้อย เสี่ยงต่อกระดูกพรุนได้

5. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุน เช่น

    ไม่กินอาหารประเภทโปรตีนหรือเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะอาหารพวกนี้จะกระตุ้นให้ไตขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะมากเกินปกติ
    ไม่กินอาหารเค็มจัดหรืออาหารที่มีโซเดียมสูง เพราะเกลือโซเดียมจะทำให้ลำไส้ดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง และเพิ่มการขับแคลเซียมทางไตมากขึ้น
    ไม่ดื่มน้ำอัดลมปริมาณมาก เพราะกรดฟอสฟอริกในน้ำอัดลมทำให้เกิดการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกมากขึ้น
    หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ ช็อกโกแลตในปริมาณมาก เพราะแอลกอฮอล์และกาเฟอีนในเครื่องดื่มเหล่านี้จะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมของลำไส้เล็ก (กาแฟไม่ควรดื่มเกินวันละ 3 แก้ว แอลกอฮอล์ไม่เกินวันละ 2 หน่วยดื่ม ซึ่งเทียบเท่าแอลกอฮอล์สุทธิ 30 มล.)
    งดการสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่กระตุ้นให้เกิดการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกมากขึ้น (เนื่องจากลดระดับเอสโทรเจนในเลือด)
    ระวังการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ ซึ่งจะเร่งการขับแคลเซียมออกจากร่างกาย

6. รักษาโรคหรือภาวะที่ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน โรคคุชชิง

* สำหรับคนไทยซึ่งมียีนที่ควบคุมการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เล็กได้ดีกว่าชาวตะวันตก และได้รับแสงแดดช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดีได้ตลอดปี มีความต้องการปริมาณแคลเซียมน้อยกว่าชาวตะวันตก ซึ่งแนะนำให้บริโภคแคลเซียมตามช่วงอายุ ดังนี้
    อายุ 9-18 ปี ควรบริโภคแคลเซียม 1,000 มก./วัน
    อายุมากกว่า 50 ปี ควรบริโภคแคลเซียม 800-1,000 มก./วัน
    อายุมากกว่า 50 ปี ควรบริโภคแคลเซียม 800-1,000 มก./วัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวัยเด็กและหนุ่มสาว ควรบริโภคแคลเซียมให้เพียงพอ เพื่อสะสมมวลกระดูกไว้ให้มาก จะป้องกันการเกิดกระดูกพรุนได้ดีกว่าการเสริมแคลเซียมหลังอายุ 30-35 ปี (ช่วงที่ร่างกายสร้างมวลกระดูกหนาแน่นสูงสุด) ไปแล้ว

ข้อแนะนำ

โรคนี้พบได้บ่อยในหญิงหลังวัยหมดประจำเดือน และผู้สงอายุ ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อกระดูกหักง่าย ควรป้องกันด้วยการปฏิบัติตัวต่าง ๆ (เช่น การบริโภคอาหารที่มีแคลเซียมให้มากพอ การออกกำลังกาย การรักษารูปร่างอย่าให้ผอมเกินไป การไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มสุราจัด) ตั้งแต่วัยเด็กและวัยหนุ่มสาว

14
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


15
จุดพักเที่ยววัดสวยอ่างทอง "วัดไชโยวรวิหาร"

วัดไชโยวรวิหารตั้งอยู่ที่ ตำบลไชโย อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง เป็นพระอารามหลวงชั้นโท สร้างมาตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาจนครั้งที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้มาสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ปางสมาธิขัดสมาธิ ขนาดหน้าตัก 8 วา 6นิ้ว สูง 11วา ศอก 7 นิ้ว ก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทองอย่างสวยงาม  แล้วพระราชทานนามว่า "พระมหาพุทธพิมพ์ หรือ หลวงพ่อโต"ทำให้กลายเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงให้ความเคารพและเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมากของจังหวัดของอ่างทอง  นอกจากนี้ยังมีการสร้างพระวิหาร พระอุโบสถเป็นมุขลดยื่นออกมาทางด้านหน้า มีศาลาราย กำแพงแก้ว ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ หอสวดมนต์ หอระฆัง ศาลารายกลางวัด ศาลาท่าน้ำ รวมเวลาการปฏิสังขรณ์นานถึง 8 ปี

ด้านหน้าวิหารประดิษฐานรูปหล่อสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มีซุ้มศาลาให้เดินชมวิวและรับบรรยากาศเย็นสดชื่น ไม่ร้อนและมีลมพัดเย็นตลอดเวลา มีวิวแม่น้ำเจ้าพระยาให้ชม  สามารถนั่งพักผ่อนหย่อนใจได้

องค์จำลองสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังษี) ที่มีขนาดใหญ่โตมาก ประดิษฐานอยู่ด้านในพระวิหาร หันด้านหน้าออกทางแม่น้ำเจ้าพระยาให้ประชาชนเข้าไปสักการะบูชา

พระวิหารมีลักษณะรูปทรงสูงทรงสวยแปลกตา เสาพระวิหารด้านหน้า-หลังพระวิหารมีขนาดสูงเด่น ส่วนด้านนอกมีรูปทวารบาลเป็นลายรดน้ำรูปเสี้ยวกวาง

พอเดินเข้าไปภายในขวามือจะมีรูปปั้นองค์จำลองขององค์สมเด็จพระปิยะมหาราชให้สักการะ

เมื่อเดินเข้าไปยังพระอุโบสถรู้สึกตื้นเต้นมากๆเพราะจะพบกับพระประธานองค์ใหญ่ ดูเด่นเป็นสง่าน่าเลื่อมใสเป็นอย่างมากประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบส

ไฮไลต์น่าสนใจที่สุดในวัดนี้  คือ พระประธานในอุโบสถปางสมาธิ "พระมหาพุทธพิมพ์ หรือที่เรียกว่า หลวงพ่อโต" เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ มีขนาดหน้าตักกว้าง 16.10 เมตร สูง 22.65 เมตร มีพุทธลักษณะที่โดดเด่น คือ พระพักตร์และพระกรรณเหมือนคนธรรมดามากกว่า มีริ้วรอยย่นของ สบง จีวร ชัดเจน

มื่อเข้าไปทราบไหว้พระประธานอย่าลืมสักการะรูปหล่อเกจิอาจารย์ดังประดิษฐานทั้งด้านซ้าย-ขวาหน้าพระประธานเพื่อเป็นสิริมงคล

มีรอยพระพุทธบาทให้สักการะ

บริเวณหน้าวิหารหลวงพ่อโต สามารถเดินเล่นได้รอบๆวัดได้ดีมากๆ เพราะมีซุ้มเชื่อมต่อกันเพื่อให้เดินเล่นเย็นๆได้ ส่วนที่ๆตื่นตาตื่นใจและชอบในการเดินทางมาเที่ยวครั้งนี้มากที่สุดคือประธานในอุโบสถ มีขนาดใหญ่โตเท่าโบสถ์ด้านในอากาศเย็นสบาย ห้องน้ำสะอาด มีตลาดนัดชุมชนให้เดินแวะซื้อของกินของฝากได้อิ่มบุญและอิ่มท้องด้วย ส่วนการเดินทางสะดวกสบายหาง่ายมากๆ

การเดินทางไปยังวัดไชโยวรวิหาร เส้นทางสะดวกสบายเป็นทางราดยางตลอดเส้นทาง ตั้งอยู่บนถนนอ่างทอง-สิงห์บุรีสายเก่า ตำบลไชโย อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง ขับรถมุ่งหน้าสู่พระนครศรีอยุธยา ประมาณ 18 กม. ( เส้นทางหลักกิโลเมตรที่ 50 ) ให้แยกซ้าย สู่พระนครศรีอยุธยา(เส้นทางหลวงหมายเลข 32 ถ้าแยกขวาจะเป็นเส้นทางไปสระบุรี) จากนั้นขับตรงไปมุ่งหน้าสู่พระนครศรีอยุธยา (หลักกิโลเมตรที่ 70 แยกซ้ายมือเข้าพระนครศรีอยุธยา ) ไม่ต้องเลี้ยวซ้าย  ให้ขับตรงไปมุ่งหน้าอ่างทอง (หลักกิโลเมตรที่ 102 แยกซ้ายมือเข้าอ่างทอง ) ไม่ต้องเลี้ยวซ้ายให้ขับตรงไปมุ่งหน้าสู่สิงห์บุรี  จากนั้นให้เลี้ยวซ้าย ตรงหลักกิโลเมตรที่118 - 119 เลี้ยวซ้ายแล้วขับตรงไปประมาณ 2.1 กม. เลี้ยวขวา (ถ้าเลี้ยวซ้าย จะไปวัดขุนอินทประมูล) ขับตรงไปประมาณ 120 ม.จากนั้นเลี้ยวขวา สังเกตุก่อนถึงวัดไชโยวรวิหาร ท่านจะต้องข้ามสะพานข้ามแม่น้ำ  วัดเปิดให้เข้าชม 07.00-17.00 น. ไม่มีอัตราค่าบริการเข้าชมฟรี

เปิดให้เข้าชม 07:00-17:00

ไม่มีอัตราค่าบริการเข้าชมฟรี

หน้า: [1] 2 3 ... 54
ลงประกาศฟรี โฆษณาฟรี ลงประกาศขายบ้านฟรี ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ขายรถ สินค้าอุตสาหกรรม อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว โปรโมทสินค้าฟรี เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google