แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 27
1
ซ่อมบำรุงอาคาร: บ้านน้ำรั่วซึม บ้านชื้น ช่วงหน้าฝน ซ่อมแซมยังไงดี

หน้าฝนมา ปัญหาเรื่องบ้านเกิด...นอกจากเรื่องน้ำรั่วซึม บ้านชื้น มีกลิ่นอับแล้ว ยังมีอีกหลายปัญหาที่ชอบเกิดในหน้าฝน จะมีอะไรอีกบ้าง แก้ไขซ่อมแซมยังไงดี


1. ปัญหาน้ำรั่วซึมที่หลังคา

          ส่วนที่มักเกิดน้ำรั่วซึมจากฝนตกบ่อย ๆ จะเป็นตามรอยต่อที่หลังคา วิธีซ่อมแซม ให้ลองตรวจสอบหลังคาก่อน ว่าหลังคามุงไม่ดี หรือกระเบื้องหลังคาแตกร้าว ถ้าพบว่าหลังคาแตกจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ ให้รื้อแล้วเปลี่ยนกระเบื้องหลังคาใหม่เลย และอย่ามองข้าม “อุปกรณ์ยึดครอบหลังคา” เพราะสิ่งนี้ช่วยป้องกันปัญหาน้ำรั่วซึมได้ ซึ่งคุณสามารถใช้กาวพลังตะปูในการยึดกระเบื้องหลังคา หรือเพื่อซ่อมแซมรอยรั่วซึมของหลังคาได้ เพราะกาวพลังตะปูมีคุณสมบัติในการยึดเกาะแน่น ใช้ยึดติดวัสดุต่าง ๆ แทนการตอกตะปู อีกทั้งยังสามารถอุดรอยรั่ว ใช้ได้ทั้งภายนอกและภายในอาคาร ใช้งานง่าย แห้งเร็ว ทาสีทับได้


2. ปัญหารอยแตกร้าวที่ผนัง ขอบหน้าต่าง

          ทุกบ้านคงต้องมีปัญหาเรื่องรอยแตกร้าวที่ขอบประตูและหน้าต่าง รามไปถึงผนังบ้าน เมื่อฝนตกน้ำก็จะรั่วซึมเข้ามาในบ้าน ทำให้ข้าวของเสียหายได้ วิธีซ่อมแซม หาซื้อกาวพียู (โพลี ยูรีเทน) มายาแนวยึดขอบประตูหน้าต่าง และยังอุดรอยแตกร้าวของผนังได้อีกด้วย เพราะคุณสมบัติของกาวพียู มีความแข็งแรง ทนทาน แห้งแล้วไม่หดตัว ทาสีทับได้ ทนแสงยูวีได้ระดับหนึ่ง จึงใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร


3. ปัญหารางน้ำฝนและท่อระบายน้ำอุดตัน

          บางบ้านอาจไม่ทันได้ตรวจสอบรางน้ำฝนหรือท่อระบายน้ำ พอเข้าหน้าฝนถึงได้รู้ว่ามีเศษกิ่งไม้ใบไม้อุดตันอยู่ ฉะนั้น ในหน้าฝนนี้อย่าลืมตรวจสอบรางน้ำฝนและท่อระบายน้ำอยู่เสมอ เพราะถ้าน้ำอุดตันจนเอ่อล้น น้ำอาจไหลย้อนเข้าภายในบ้านได้


4. ปัญหาบ้านชื้น มีกลิ่นอับ

          สาเหตุหลักของบ้านชื้น มีกลิ่นอับ เพราะอากาศในบ้านไม่ถ่ายเท และแสงแดดส่องเข้ามาในบ้านน้อยมาก ทำให้ภายในบ้านชื้น อาจมีเชื้อราสะสมอยู่ตามที่ต่าง ๆ ภายในบ้าน เช่น พรม ผ้าม่าน เครื่องนอน ตู้เสื้อผ้า วิธีกำจัดและป้องกัน ในวันที่ฝนไม่ตก และแดดออกดี ๆ รีบเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศได้ถ่ายเทหมุนเวียนเข้ามาในบ้านบ้าง และให้แสงแดดส่องเข้ามาในบ้าน เพื่อไล่ความชื้นออกไป กำจัดต้นตอของกลิ่นเหม็น โดยการหมั่นทำความสะอาดบริเวณที่มีฝุ่นหรือเชื้อราสะสม อย่างตู้ เตียง หรือโซฟา ซักทำความสะอาดเสื้อผ้าเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เช่น เครื่องนอน ผ้าเช็ดตัว หรือเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว ก็ไม่ควรหมักหมมไว้นานเกินไป สุดท้ายเพื่อดูดกลิ่นและฟอกอากาศ คุณอาจปลูกไม้ประดับ ใช้เครื่องฟอกอากาศ หรือใช้สมุนไพร เครื่องหอม ไปวางไว้บางตำแหน่งในบ้าน


5. ปัญหาตะไคร่น้ำบนพื้นคอนกรีต

          เมื่อฝนตกบ่อย ๆ บริเวณหน้าบ้าน หรือทางเดินอาจเกิดตะไคร่น้ำได้ ซึ่งไม่ควรมองข้ามเรื่องนี้เลย เพราะจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ฉะนั้น หลังฝนตก ควรรีบทำความสะอาด ไม่ควรปล่อยไว้นาน วิธีกำจัด คุณอาจใช้น้ำยาฆ่าเชื้อราและตะไคร่น้ำราด แต่ต้องเลือกน้ำยาให้เหมาะกับพื้นผิวที่จะทำความสะอาดด้วย ทิ้งให้น้ำยาทำปฏิกิริยา จากนั้นใช้แปรงขัด หรือใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงฉีดก็ได้


6. ปัญหาหญ้าที่ขึ้นรก

          ยิ่งฝนตก ต้นไม้ใบหญ้าในสวนก็ยิ่งเจริญเติบโตเร็ว ควรหมั่นตัดหญ้าในสวน ป้องกันอันตรายจากสัตว์เลื้อยคลานที่มีพิษ และหมั่นตัดแต่งต้นไม้ กิ่งไม้ เพราะเมื่อฝนตกหนัก หรือมีพายุ อาจทำให้ต้นไม้หรือกิ่งไม้หักโค่นโดนตัวบ้าน ทำให้เกิดความเสียหายได้


7. ป้องกันน้ำขัง เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย

          ไข้เลือดออกมักจะมากับหน้าฝน เพราะฝนตก น้ำจะขังตามพื้นหรือตามภาชนะต่าง ๆ หากปล่อยให้น้ำขังอยู่แบบนั้น ยุงจะมาวางไข่ จนเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้ ให้ลองเดินสำรวจดูว่ารอบ ๆ บ้านมีภาชนะ เช่น ถัง กะละมัง หรือกระถามต้นไม้เก่า ๆ ที่เราไม่ทันได้สนใจ หรือไม่ทันได้สังเกต มีน้ำขังอยู่หรือเปล่า ถ้ามี ให้รีบจัดการกำจัดน้ำขังพวกนั้นให้เรียบร้อย


8. ป้องกันเฟอร์นิเจอร์เสียหาย

          อย่าลืมเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่นอกบ้าน หน้าฝนแบบนี้ หากปล่อยให้ตากฝนอยู่นอกบ้าน เฟอร์นิเจอร์จะเสียหายเอาได้ ควรเก็บเข้าไปไว้ในบ้านหรือหาพลาสติกไปคลุมไว้ดีกว่าค่ะ


2
บริการทำความสะอาด: วิธีทำความสะอาด บ้านให้สะอาดอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

ทำความสะอาด บ้านในแต่ละครั้ง หากอยากให้สะอาดหมดจด อาจดูเป็นงานใหญ่ และต้องเหนื่อยเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณไม่มีเวลามากนัก แต่ หากคุณรู้ กฎพื้นฐาน ในการทำความสะอาด ตลอดจน เคล็ดลับ และทางลัด บางประการ จะช่วยให้คุณทำความสะอาดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1. วางแผน

การทำความสะอาดบ้าน ก็ต้องมีการวางแผน ว่าคุณจะจัดการห้องไหนก่อน หากไม่สามารถทำความสะอาด ทั้งบ้านในวันเดียวได้ อาจแบ่งงานออกเป็นหลายๆ วัน โดยกำหนดว่า ในหนึ่งวันนั้นจะทำอะไรบ้าง และใช้เวลาเท่าไหร่ และเพื่อเป็นการเตือนตัวเอง อาจทำเป็นตาราง แล้วติดไว้บนผนังให้มองเห็นได้ง่าย แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาจริงๆ การจ้างแม่บ้าน ให้มาช่วยทำความสะอาดก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง


2. ทำความสะอาด ทีละขั้นตอน

การทำความสะอาด จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากคุณเลือกทำงาน ทีละอย่าง คือ การทำงานเดียวกันในทุกห้องให้เสร็จก่อน แล้วค่อยทำขั้นตอนถัดไป เช่น ปัดฝุ่นให้ทั่วทั้งบ้านก่อนเริ่มถูพื้นเป็นต้น การทำเช่นนี้ จะช่วยให้คุณไม่รู้สึก เหมือนตกอยู่ในวงจรการทำความสะอาด ที่ต้องเริ่มงานเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีที่สิ้นสุด จนอาจท้อใจไปเสียก่อนที่จะทำความสะอาดเสร็จ


3. เตรียมอุปกรณ์ ทำความสะอาด ให้พร้อม

ใช้ที่เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด ที่สามารถลาก หรือยกไปได้ทุกห้อง เพราะการมีอุปกรณ์ทำความสะอาดทุกสิ่งที่คุณต้องการในที่เดียว จะช่วยให้งานทำความสะอาดง่าย และรวดเร็วขึ้นมาก เนื่องจาก คุณไม่ต้องเสียเวลาเดินไปมา เพื่อหยิบอุปกรณ์ทีละชิ้นในขณะทำความสะอาด ซึ่งอุปกรณ์ ทำความสะอาดที่ควรมี ได้แก่ ผ้าไมโครไฟเบอร์, เครื่องดูดฝุ่น, ไม้กวาด, ไม้ถูพื้น, น้ำยาทำความสะอาดพื้น, น้ำยาเอนกประสงค์, น้ำยาล้างห้องน้ำ, แปรงขัดห้องน้ำ, ถุงมือยาง สิ่งสำคัญ คือ อย่าลืม ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ด้วย ไม่เช่นนั้นบ้านก็จะไม่มีทางสะอาด


4. เคลียร์พื้นที่

แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่คุณจะทำความสะอาดบ้านได้อย่างราบรื่น ถ้ายังมีของวางเกลื่อนไปหมด ดังนั้น ก่อนจะเริ่ม ปัด กวาด เช็ด ถู ให้เดินถือถุงขยะไปรอบๆ บ้าน เพื่อหยิบขยะทิ้ง จากนั้น เก็บของที่วางระเกะระกะเข้าที่เดิม และย้ายสิ่งของที่ขวางทาง ออกไปไว้ที่อื่นชั่วคราว เช่น ย้ายของชิ้นเล็กๆ ที่วางตกแต่งบนโต๊ะ ไปเก็บไว้ในตู้ หรือตะกร้าก่อน เพื่อให้การทำความสะอาดง่ายขึ้น


5. กำจัดฝุ่น

เมื่อเคลียร์พื้นที่ ให้พร้อมทำความสะอาด แล้ว ก็ถึงเวลาปัดฝุ่น โดยเริ่มจาก บนลงล่าง และ จากซ้ายไปขวา เพื่อที่คุณ จะได้ทำงานเพียงครั้งเดียวแทนที่จะต้องทำความสะอาด บริเวณที่คุณเพิ่งทำไป เช่น กวาดหยากไย่ บนเพดาน ตามด้วยการปัดฝุ่นเฟอร์นิเจอร์ จากนั้น จึงดูดฝุ่นที่พื้น เป็นต้น ในการกำจัดฝุ่น ในกรณีที่เฟอร์นิเจอร์ สามารถโดนน้ำได้ ให้ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดก่อน เพื่อช่วยดูดฝุ่น ไม่ให้ฟุ้งไปในอากาศ แล้วใช้ผ้าแห้งเช็ดซ้ำอีกครั้ง หรือใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ ที่ช่วยดักจับฝุ่นไปเลยก็ได้ แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่น ทำความสะอาดบริเวณที่มีฝุ่นมากเป็นพิเศษ


6. ทำความสะอาด พื้น

วิธีทำความสะอาดพื้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีพื้นประเภทใด เพราะพื้นผิวแต่ละประเภทต้องการวิธีการทำความสะอาดที่แตกต่างกัน

        พรม การดูดฝุ่น เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำความสะอาด ฝุ่นและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่สะสมอยู่บนพรม เช่น เศษอาหารและขนสัตว์เลี้ยง
        ม็อบดันฝุ่น แบบแห้ง ชนิดใช้ ผ้าไมโครไฟเบอร์ เหมาะสำหรับ ทำความสะอาด พื้นกระเบื้อง หรือ พื้นไม้
        การถูพื้น แบบเปียก ใช้ในการกำจัดสิ่งสกปรก ที่ม็อบแบบแห้งกำจัดออกไม่ได้  เช่น คราบมันในห้องครัว แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องใช้น้ำยาทำความสะอาด ที่เหมาะสมสำหรับพื้นของคุณ

สำหรับคนที่มีงานยุ่ง อาจทำความสะอาดบ้านวันละนิด เพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกหมักหมม และหาวัน ทำความสะอาดครั้งใหญ่ สักสองหรือสามครั้ง ต่อเดือน แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาจริงๆ แม้แต่จะกวาดบ้าน การจ้างแม่บ้านให้มาช่วยจัดการ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่จะทำให้บ้านดูสะอาดตลอดเวลา




3
หมอออนไลน์: โรคหลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis)

Vasculitis หรือ โรคหลอดเลือดอักเสบเป็นความผิดปกติของหลอดเลือดภายในร่างกาย สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดง โดยผู้ป่วยมักมีอาการปวดหัว เป็นไข้ มีผื่นหรือจ้ำแดงขึ้นตามร่างกาย

โรคหลอดเลือดสามารถแบ่งได้หลายประเภทตามตำแหน่งที่เกิดความผิดปกติ โดยสาเหตุของโรคมักมาจากการอักเสบของหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดตีบ บาง หรือแข็ง สำหรับการรักษาจะขึ้นอยู่กับอาการ ความรุนแรง และโรคที่เป็นสาเหตุ


อาการของ Vasculitis

อาการโรคหลอดเลือดอักเสบอาจแบ่งออกได้เป็นอาการที่พบได้ทั่วไป เช่น ปวดหัว มีไข้ เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดตามร่างกาย ผื่นแดง ผื่นนูน อาการคัน ชา หรืออ่อนแรงตามส่วนต่าง ๆ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังพบอาการที่แตกต่างกันไปตามชนิดของโรค ดังนี้

    Cryoglobulinemia
    เป็นความผิดปกติของโปรตีนในเลือด โดยอาจส่งผลให้เกิดผื่น มีอาการปวดตามข้อ รู้สึกชา เป็นเหน็บ หรือมีอาการอ่อนแรงตามร่างกาย

    Microscopic Polyangiitis (MPA)
    เป็นความผิดปกติของหลอดเลือดบริเวณไต ปอด เส้นประสาท ผิวหนัง และข้อต่อ ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีไข้ ปวดท้อง หายใจตื้น ผื่นขึ้น น้ำหนักลด มีอาการชา ปวด หรือรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มตามส่วนต่าง ๆ ไอเป็นเลือด และไตเกิดความผิดปกติ

    โรคเบเซ็ท (Behcet's Disease)
    เกิดจากการอักเสบของทั้งหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ ส่งผลให้เกิดแผลเปื่อยในปาก แผลที่อวัยวะเพศ ตาอักเสบ และเกิดแผลคล้ายตุ่มสิวตามผิวหนัง

    โรคเบอร์เกอร์ (Buerger's Disease)
    โรคเบอร์เกอร์ทำให้เกิดการอักเสบและลิ่มเลือดในหลอดเลือดบริเวณมือและเท้า ทำให้เกิดแผลตามมือและเท้า พร้อมทั้งมีอาการปวดตามส่วนนั้น ๆ ร่วมด้วย บางกรณีอาจพบความผิดปกติรูปแบบเดียวกันที่บริเวณหน้าท้อง สมอง และหัวใจได้

    โรคหลอดเลือดอักเสบ Churg-strauss Syndrome
    เป็นการอักเสบของหลอดเลือดทั่วร่างกาย โดยมักทำให้เกิดความผิดปกติของผิวหนัง ทางเดินอาหาร ไต นอกจากนี้ยังพบได้ที่เส้นประสาทบริเวณมือและเท้า ปอด  และสมอง ซึ่งอาการที่พบได้บ่อย เช่น ไข้ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เหนื่อยล้า โรคหืด โรคภูมิแพ้ ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ รู้สึกอ่อนแรง หรือรู้สึกคล้ายเข็มทิ่มตามร่างกาย เป็นต้น

    โรคหลอดเลือดขมับอักเสบ (Giant Cell Arteritis)
    เป็นอาการอักเสบของหลอดเลือดบริเวณศีรษะ ลำคอ โดยเฉพาะบริเวณขมับ ซึ่งส่งผลให้ปวดศีรษะ ปวดกรามโดยเฉพาะขณะรับประทานอาหาร เจ็บหนังศีรษะ ตาพร่า เห็นภาพซ้อน หรือสูญเสียการมองเห็น

    โรคหลอดเลือดอักเสบ GPA (Granulomatosis With Polyangiitis)
    เป็นการอักเสบของหลอดเลือดบริเวณโพรงจมูก หู คอ ปอด และไต ส่งผลให้มีอาการคัดจมูก หายใจสั้น ไซนัสติดเชื้อ ไซนัสอักเสบ เลือดกำเดาไหล ไอเป็นเลือด และไตเกิดความผิดปกติ

    โรคหลอดเลือดขนาดเล็กอักเสบ (Henoch-schonlein Purpura)
    เป็นโรคที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยอักเสบตามข้อต่อ ผิวหนัง ลำไส้ และไต ส่งผลให้เกิดอาการปวดข้อต่อ ปวดท้อง ท้องเสีย อาเจียน ปัสสาวะหรืออุจจาระปนเลือด เกิดผื่นคล้ายรอยช้ำบริเวณสะโพกหรือขาส่วนล่าง

    โรคคาวาซากิ (Kawasaki Disease)
    โรคคาวาซากิเป็นชนิดของโรคหลอดเลือดอักเสบที่พบได้ยาก ผู้ป่วยอาจมีอาการเป็นไข้ ผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโต จุดแดงตามนิ้วมือ นิ้วเท้า ดวงตา มือ ริมฝีปาก ลิ้น และช่องปาก

    โรคแพน (Polyarteritis Nodosa)
    เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดในไต ระบบทางเดินอาหาร เส้นประสาท ผิวหนัง ส่งผลให้เกิดผื่น ไม่สบายตัว น้ำหนักลด ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ ปวดท้องหลังรับประทานอาหาร เลือดออกในกระเพาะอาหาร ความดันโลหิตสูง รู้สึกอ่อนแรง และไตเกิดความผิดปกติ

    โรคทากายาสุ (Takayasu Arteritis)
    เป็นความผิดปกติของหลอดเลือดใหญ่ที่อาจเกิดการอักเสบ รวมถึงหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตา (Aorta) ที่อยู่บริเวณหัวใจด้วย ส่งผลให้ผู้ป่วยมีไข้ รู้สึกไม่สบายตัว เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดหรือเวียนศีรษะ ปวดตามข้อต่อ มือเท้าเย็นหรือชาตามมือและเท้า หายใจสั้น ชีพจรแผ่ว ความดันเลือดสูงขึ้น มีเหงื่อออกตอนกลางคืนหรือขณะนอนหลับ และการมองเห็นผิดปกติ

นอกจากนี้ ยังมีอาการหลอดเลือดอักเสบที่เป็นผลมาจากการติดเชื้อหรือผลข้างเคียงของยา (Hypersensitivity vasculitis) ส่งผลให้เกิดจุดแดงตามผิวหนังของผู้ป่วย โดยมักพบบริเวณขาส่วนล่าง


สาเหตุของ Vasculitis

ในปัจจุบันแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่โรคนี้จะทำให้หลอดเลือดเกิดการอักเสบหรือมีเลือดออก จึงอาจส่งผลให้ผนังหลอดเลือดหนาขึ้น บางลง หรือตีบลงได้ โดยความผิดปกติเหล่านี้จะส่งผลต่อการลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนั้น เมื่อการไหลเวียนของเลือดผิดปกติไป ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ขึ้นมา

แม้ว่าโรคนี้ยังไม่พบสาเหตุ แต่เชื่อว่าปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันอาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคหลอดเลือดอักเสบขึ้นได้ เช่น การติดเชื้ออย่างโรคไวรัสตับอักเสบบีและซี โรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน ผลข้างเคียงจากยา และการสูบหรี่ เป็นต้น นอกจากนี้ โรค Vasculitis บางชนิดอาจเป็นผลมาจากความผิดปกติของพันธุกรรม


การวินิจฉัย Vasculitis

เบื้องต้นแพทย์จะตรวจสอบประวัติการเจ็บป่วยและโรคต่าง ๆ รวมถึงตรวจร่างกายเบื้องต้น จากนั้นแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อวินิจฉัยและแยกโรคหลอดเลือดอักเสบออกจากโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกัน โดยวิธีการที่แพทย์อาจนำมาตรวจเพื่อวินิจฉัยโรค มีดังนี้

    การตรวจเลือด
    เป็นการตรวจเพื่อหาการเปลี่ยนแปลงในเลือดที่อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือการอักเสบ เช่น การทำงานของไต ปริมาณโปรตีน C-reaction หรือโปรตีนต้านการอักเสบ แอนติบอดีที่ต้านการติดเชื้อ รวมถึงการตรวจนับเกล็ดเลือด ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด และเม็ดเลือดขาว

    การตรวจปัสสาวะ
    การตรวจปัสสาวะมีจุดประสงค์เพื่อตรวจหาปริมาณเซลล์เม็ดเลือดแดงหรือปริมาณสารอื่น ๆ หากมีปริมาณมากกว่าปกติอาจเป็นสัญญาณความผิดปกติของโรค

    การตรวจชิ้นเนื้อ
    แพทย์จะทำการตัดและนำตัวอย่างเนื้อเยื่อในบริเวณที่มีอาการไปตรวจหาความผิดปกติเพิ่มเติม

    การถ่ายหลอดเลือดและอวัยวะ
    วิธีการนี้มีจุดประสงค์เพื่อตรวจสอบลักษณะของหลอดเลือดบริเวณที่เกิดความผิดปกติ เพื่อนำมาวิเคราะห์โรค โดยแพทย์จะทำการสอดท่อขนาดเล็กเข้าไปตามเส้นเลือดและทำการฉีดสีตามเข้าไปในท่อ จากนั้นก็จะทำการแสดงภาพด้วยรังสีเอกซ์ ซึ่งสีที่ฉีดเข้าไปจะช่วยให้ภาพของหลอดเลือดมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ แพทย์อาจทำการแสดงภาพด้วยวิธีการอื่น ๆ เช่น การอัลตราซาวด์หรือใช้คลื่นเสียงความถี่สูง การฉายรังสีเอกซ์แบบปกติ การแสดงภาพด้วยเครื่องเอกซเรย์ คอมพิวเตอร์ (CT) การแสดงภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือการใช้รังสีโพสิตรอนในการแสดงภาพ (PET)


การรักษา Vasculitis

การรักษาโรคหลอดเลือดอักเสบมุ่งเน้นไปที่การควบคุมการอักเสบของหลอดเลือด ร่วมกับการรักษาตามสาเหตุของโรค ซึ่งการรักษาแบ่งเป็นสองช่วง คือ ช่วงยับยั้งการอักเสบและช่วงป้องกันอาการกำเริบ เนื่องจากโรคนี้มีความเสี่ยงในการกลับมาเป็นซ้ำและอาจต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง

ในการรักษาการอักเสบ แพทย์อาจสั่งจ่ายยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์หรือยากลุ่มชีวบำบัด (Biologic Therapies) ซึ่งระยะเวลาการรักษาและยาที่แพทย์สั่งอาจขึ้นอยู่กับตำแหน่งของอวัยวะที่ผิดปกติ ชนิดและความรุนแรงของโรค นอกจากนี้ แพทย์อาจสั่งจ่ายยาตามอาการให้ผู้ป่วยในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเส้นเลือดโป่งพอง แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดเพื่อใส่คลิปหนีบ (Surgical Clipping) หรือขดลวด (Endovascular Coiling) บริเวณหลอดเลือดที่โป่งพอง เพื่อลดการไหลเวียนเลือดที่ผิดปกติ

อย่างไรก็ตาม การรักษาทั้งสองรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาหรือการผ่าตัดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนได้จึงควรปรึกษาแพทย์ถึงความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ


ภาวะแทรกซ้อนของ Vasculitis

โรคหลอดเลือดอักเสบอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้หลายอาการ ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับตำแหน่งของหลอดเลือด และความรุนแรง ภาวะแทรกซ้อนของ Vasculitis อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่อวัยวะภายในเสียหาย เกิดลิ่มเลือด เส้นเลือดโป่งพอง สูญเสียการมอง การติดเชื้อ ไปจนถึงอาการที่เป็นอันตรายต่อชีวิตหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา

นอกจากนี้ การใช้ยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ในการรักษาเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น น้ำหนักขึ้น โรคเบาหวาน และโรคกระดูกพรุน เป็นต้น ซึ่งความรุนแรงของผลข้างเคียงอาจเพิ่มสูงขึ้นตามระยะเวลาที่ใช้ยาในการรักษา


การป้องกัน Vasculitis

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดของโรคหลอดเลือดอักเสบ จึงไม่มีวิธีป้องกันโดยตรง แต่สามารถลดความเสี่ยงของโรคลงได้ด้วยการดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรง เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ เข้ารับวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม โรคนี้มีความเสี่ยงในการกลับมาเป็นซ้ำและอาจต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาการที่ต่อเนื่องกันของโรคอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ผู้ที่เคยเป็นโรคนี้ควรทำความเข้าใจอาการของโรค และพูดคุยกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเดียวกันเกี่ยวกับการใช้ชีวิตร่วมกับโรคนี้

4
Doctor At Home: มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphomas)

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นมะเร็งของเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์* ซึ่งเกิดขึ้นที่ระบบน้ำเหลือง (lymph system) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย หลัก ๆ ประกอบด้วยต่อมไทมัส ม้าม ไขกระดูก และต่อมน้ำเหลือง (ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วร่างกาย ตามคอ รักแร้ ข้อพับแขน ข้อพับขา ช่องอก ช่องท้อง และอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย) มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจึงอาจเริ่มเกิดขึ้นได้ที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใดบริเวณหนึ่ง หรืออวัยวะอันใดอันหนึ่ง เช่น กระเพาะ ลำไส้ ทอนซิล ตับ ตับอ่อน ปอด สมอง ไขสันหลัง

โดยภาพรวม โรคนี้พบได้มากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น พบมากสุดในช่วงอายุ 60-70  ปี พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย ในบ้านเรามะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 5 ในผู้ชาย และอันดับ 9 ในผู้หญิง

เนื่องจากลิมโฟไชต์มีอยู่หลายชนิดย่อย มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจึงมีอยู่หลายชนิดย่อย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่

1. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin lymphoma/HL) พบได้ในคนทุกวัย แต่จะพบบ่อยในช่วงอายุ 15-30 ปี และมากกว่า 55 ปี มะเร็งชนิดนี้จะตรวจพบเซลล์ผิดปกติที่เรียกว่า "เซลล์รีดสเทิร์นเบิร์ก (Reed-Sternberg cells)" ที่ต่อมน้ำเหลือง (ซึ่งจะไม่พบในโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน) ในปัจจุบันมะเร็งชนิดนี้พบว่ามีอยู่ 6 ชนิดย่อยด้วยกัน ส่วนใหญ่จะเริ่มเกิดอาการขึ้นที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณส่วนบนของร่างกาย เช่น คอ ทรวงอก รักแร้

2. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน (non-Hodgkin lymphoma/NHL) พบได้มากกว่าชนิดฮอดจ์กิน (พบประมาณร้อยละ 85-90 ของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งหมด) และมีการแพร่กระจายได้เร็ว พบได้ในคนทุกวัย และพบมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น มักพบบ่อยในคนอายุมากกว่า 60 ปี ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ และผู้ป่วยที่ผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ ในปัจจุบันมะเร็งชนิดนี้พบว่ามีอยู่กว่า 60 ชนิดย่อยด้วยกัน มะเร็งชนิดนี้สามารถเริ่มเกิดอาการขึ้นที่ต่อมน้ำเหลืองส่วนใดของร่างกายก็ได้ และส่วนใหญ่เกิดจากการกลายพันธุ์ของลิมโฟไซต์ชนิดบี (B lymphocyte)

นอกจากนี้ เมื่อแบ่งตามการเจริญของมะเร็ง มะเร็งชนิดนอนฮอดจ์กินนี้ยังแบ่งเป็น 2 ชนิดย่อย ได้แก่ ชนิดค่อยเป็นค่อยไป หรือ indolent (ซึ่งมีอัตราการแบ่งตัวของมะเร็งค่อนข้างช้า แต่มักจะรักษาได้ไม่หายขาด) กับชนิดรุนแรง หรือ aggressive (ซึ่งมีอัตราการแบ่งตัวของมะเร็งเร็ว ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจเสียชีวิตได้ภายใน 6 เดือน-2 ปี แต่ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องมีโอกาสที่จะหายขาดได้)

อย่างไรก็ตาม มะเร็งต่อมน้ำเหลืองทุกชนิดมีอาการและวิธีรักษาคล้ายคลึงกัน ส่วนผลการรักษาจะแตกต่างกัน ขึ้นกับชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค สภาพของผู้ป่วย และการตอบสนองต่อการรักษา

* ลิมโฟไซต์ (lymphocyte) เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม แบ่งเป็นชนิดบีกับชนิดที

ลิมโฟไซต์ชนิดบี (B lymphocyte) ทำหน้าที่สร้างสารภูมิต้านทาน (antibody) คือ อิมมูโนโกลบูลิน (immunoglobulin) จำเพาะต่อเชื้อโรคชนิดหนึ่ง ๆ ซึ่งไหลเวียนอยู่ในเลือดและสารน้ำทั่วร่างกาย (เรียกว่า humoral immunity)

ลิมโฟไซต์ชนิดที (T lymphocyte) ทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของลิมโฟไซต์ชนิดบี โดย helper T cell สร้างสารลิมโฟไคน์ (lymphokines) ในการควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และทำลายเชื้อโรคโดยตรงโดย killer (cytotoxic) T cell (เรียกว่า cell mediated Immunity)   

สาเหตุ

ปัจจุบันนี้ยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ชัดเจน แต่ผู้ป่วยบางรายอาจพบมีความสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ (ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากขึ้นในคนบางคน)

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน พบว่าอาจมีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การมีประวัติมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (ชนิดใดชนิดหนึ่ง) ในครอบครัว การมีประวัติการติดเชื้อไวรัสอีบีวี (EBV หรือ Epstein-Barr virus เช่น โรค infectious mononucleosis)

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน พบว่าอาจมีปัจจัยเสี่ยง  ได้แก่ การติดเชื้อไวรัส (เช่น ไวรัสตับอักเสบซี, ไวรัสเอชทีแอลวี-1 หรือ HTLV-1, ไวรัสอีบีวี หรือ EBV, เอชไอวี), การติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น เชื้อเฮลิโคแบกเตอร์ไพโลไร ซึ่งทำให้เกิดโรคแผลเพ็ปติก), ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยที่ผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ), ผู้ที่เป็นโรคภูมิต้านตัวเอง (เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เอสแอลอี), การสัมผัสสารเคมีบางชนิด (เช่น เบนซิน ยาฆ่าแมลงหรือยาฆ่าหญ้าบางชนิด)

อาการ

อาการที่โดดเด่น คือ มีก้อนบวม (ของต่อมน้ำเหลือง) ที่ข้างคอ รักแร้ หรือขาหนีบ นานเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นแรมเดือนโดยไม่รู้สึกเจ็บ บางรายอาจมีก้อนขึ้นพร้อมกันหลายแห่ง

บางรายอาจมีไข้เรื้อรังโดยตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติอื่น ๆ หรืออาจมีไข้สูงอยู่หลายวันสลับกับไม่มีไข้หลายวัน อาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ เหงื่อออกตอนกลางคืน หนาวสั่น ทอนซิลโต หรือคันตามผิวหนัง

ผู้ป่วยอาจมีอาการที่เกิดจากก้อนมะเร็งต่อมน้ำเหลืองกดถูกอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย เช่น

    ถ้าเกิดในช่องอก ทำให้มีอาการไอ เจ็บแน่นหน้าอก หายใจลำบาก หน้าบวม คอบวม แขนบวม
    ถ้าเกิดในช่องท้อง ทำให้มีอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูก เบื่ออาหาร ดีซ่าน
    ถ้าเกิดในลำไส้เล็ก ทำให้มีอาการน้ำหนักลด ท้องเดิน ลำไส้ไม่ดูดซึมอาหาร
    ถ้าเกิดที่ขาหนีบ อาจมีอาการขาบวมจากภาวะอุดกั้นทางเดินน้ำเหลือง
    ถ้าเกิดในสมอง ไขสันหลังหรือระบบประสาท ทำให้มีอาการปวดศีรษะ แขนขามีอาการปวด หรือชาหรืออ่อนแรง เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อน

มักเกิดจากการที่มีก้อนของมะเร็งไปกดหรือทำลายอวัยวะต่าง ๆ เช่น ทำให้เกิดภาวะอุดกั้นของระบบไหลเวียนเลือดหรือน้ำเหลือง ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ (อาจทำให้เกิดภาวะไตวายตามมาได้) เป็นต้น

ถ้ามะเร็งลุกลามเข้าสมอง ไขสันหลัง หรือกดถูกเส้นประสาทสันหลัง ก็ทำให้ปวดศีรษะ แขนขามีอาการปวด หรือชา หรืออ่อนแรง

ถ้ามะเร็งลุกลามเข้าไขกระดูก ก็ทำให้สร้างเม็ดเลือดทุกชนิดไม่ได้ ทำให้เกิดภาวะซีด เลือดออกง่าย และติดเชื้อง่าย ซึ่งอาจรุนแรงจนเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษได้

ถ้ามีก้อนมะเร็งที่กระเพาะอาหาร นอกจากเกิดภาวะกระเพาะอาหารอุดกั้นแล้ว ยังอาจมีเลือดออก (อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากการซักถามอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และตรวจร่างกายพบสิ่งผิดปกติ ที่สำคัญคือ ตรวจพบก้อนบวมของต่อมน้ำเหลืองที่คอ รักแร้หรือขาหนีบ ลักษณะแข็ง ไม่เจ็บ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1 ซม.

บางรายอาจพบว่ามีไข้ ทอนซิลโต ตับโต ม้ามโต ดีซ่าน แขนขาบวม แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด หรือมีจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตัดต่อมน้ำเหลืองนำไปตรวจพิสูจน์ (lymph node biopsy) ซึ่งจะพบลักษณะของเซลล์ที่เป็นมะเร็ง สำหรับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กินจะพบเซลล์มะเร็งที่เรียกว่า "เซลล์รีดสเทิร์นเบิร์ก (Reed-Sternberg cells)"

แพทย์จะทำการตรวจเลือด (เช่น ดูจำนวนของเม็ดเลือดต่าง ๆ การทำงานของตับ ไต) ตรวจไขกระดูก (ตรวจหาเซลล์มะเร็งในไขกระดูก)

นอกจากนี้ แพทย์จะทำการประเมินภาวะแทรกซ้อนและระยะของโรค ด้วยการเอกซเรย์ปอด ถ่ายภาพอวัยวะตามส่วนต่าง ๆ (เช่น ทรวงอก ช่องท้อง สมอง ไขสันหลัง) ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือเพตสแกน (PET scan) และ/หรือทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะทำการรักษาโดยพิจารณาจากชนิดและระยะของโรคมะเร็งต่อมนำเหลือง

ในรายที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดเจริญช้า (หรือชนิดค่อยเป็นค่อยไป) และมีอาการยังไม่มาก แพทย์จะเฝ้าติดตามดูอาการเปลี่ยนแปลง และนัดมาตรวจ (เช่น ตรวจเลือด ตรวจทางรังสี) เป็นระยะ จนกว่าจะมีอาการมากขึ้นจึงจะให้การรักษา

ในรายที่มีอาการมาก หรือเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดเจริญหรือลุกลามเร็ว แพทย์ก็จะให้การรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัดเพียงอย่างเดียว หรือร่วมกันทั้งสองอย่าง ขึ้นกับชนิดและระยะของโรค เช่น ในรายที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน ส่วนใหญ่จะให้การรักษาด้วยเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว หรือเคมีบำบัดร่วมกับรังสีบำบัด หรือเคมีบำบัดร่วมกับการให้ยาสเตียรอยด์

ในรายที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะที่ 1 (พบเพียงบริเวณเดียว) และเป็นชนิดไม่รุนแรง ก็สามารถให้รังสีบำบัดเพียงอย่างเดียว

ในรายที่เป็นชนิดรุนแรงหรือระยะท้าย ๆ ก็จำเป็นต้องให้เคมีบำบัดร่วมกับรังสีบำบัด และยาอื่น ๆ เช่น ยารักษาแบบมุ่งเป้า (targeted drugs เช่น rituximab) ยาอิมมูนบำบัด (immunotherapy drugs) เป็นต้น

ในรายที่มีการเกิดโรคกลับ (relapse) แพทย์จะให้เคมีบำบัดด้วยขนาดยาที่สูง และทำการปลูกถ่ายไขกระดูกหรือเซลล์ต้นกำเนิด ก็มักช่วยให้มีชีวิตยืนยาวขึ้นหรือหายได้

ผลการรักษา ขึ้นกับชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค สภาพของผู้ป่วย และการตอบสนองต่อการรักษา

ถ้าได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรก ๆ มักจะได้ผลดี สามารถหายเป็นปกติ และมีชีวิตที่ยืนยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน

ถ้าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะท้าย หรือชนิดรุนแรง (เจริญเร็ว) การรักษาก็มักจะได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร


การแบ่งระยะของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ระยะที่ 1: มีรอยโรคที่ต่อมน้ำเหลือง บริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกายเพียงแห่งเดียว (เช่น คอด้านซ้ายหรือด้านขวา หรือรักแร้ด้านซ้ายหรือด้านขวา หรือขาหนีบด้านซ้ายหรือด้านขวา) หรือมีรอยโรคที่นอกต่อมน้ำเหลือง (คือที่อวัยวะอันใดอันหนึ่งภายในร่างกาย) เพียงแห่งเดียว

ระยะที่ 2: มีรอยโรคของต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่ 2 ตำแหน่งขึ้นไป (เช่น คอด้านซ้ายกับคอด้านขวา หรือคอด้านซ้ายกับรักแร้ด้านซ้าย หรือขาหนีบด้านซ้ายกับขาหนีบด้านขวา) หรือมีรอยโรคที่อวัยวะอันใดอันหนึ่งและที่ต่อมน้ำเหลือง 1 ตำแหน่งหรือมากกว่า โดยที่รอยโรคทั้งหมดยังจำกัดอยู่ในบริเวณที่อยู่เหนือกะบังลมขึ้นไปด้วยกัน หรือในบริเวณที่อยู่ใต้กะบังลมลงมาด้วยกัน

ระยะที่ 3: มีรอยโรคของต่อมน้ำเหลือง ทั้งที่ในบริเวณที่อยู่เหนือกะบังลมขึ้นไป และในบริเวณที่อยู่ใต้กะบังลมลงมาพร้อมกัน (เช่น คอกับขาหนีบ รักแร้กับขาหนีบ) และอาจพบรอยโรคที่อวัยวะนอกต่อมน้ำเหลือง และ/หรือที่ม้ามร่วมด้วย

ระยะที่ 4: มีรอยโรคที่กระจายไปที่อวัยวะต่าง ๆ (เช่น ปอด ตับ ไขกระดูก สมอง ไขสันหลัง กระเพาะ ลำไส้ กระดูก) มากกว่า 1 ตำแหน่ง โดยไม่นับรวมม้ามกับต่อมไทมัส


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น คลำได้ก้อนบวมของต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอ รักแร้ หรือขาหนีบ หรือมีไข้เรื้อรัง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ)  ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์และทีมสุขภาพที่ดูแล

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ส่วนใหญ่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น การติดเชื้อไวรัสบางชนิด (เช่น เอชไอวี) สารเคมีบางชนิด (เช่น เบนซิน ยาฆ่าแมลงหรือยาฆ่าหญ้าบางชนิด) เป็นต้น อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคนี้

ควรป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม โดยการไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ เมื่อสังเกตว่ามีอาการที่น่าสงสัย

ข้อแนะนำ

1. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองไม่ใช่โรคติดต่อ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดหรือเป็นญาติพี่น้องกับผู้ป่วย ไม่ต้องกลัวว่าจะติดโรคจากผู้ป่วย

2. การรักษากับแพทย์ในโรงพยาบาลให้ผลดีมากกว่าการไม่รักษา ผู้ป่วยควรมีกำลังใจเข้ารับการรักษาอย่างจริงจังและต่อเนื่องตามที่แพทย์นัด และอดทนต่อผลข้างเคียงของการใช้ยาเคมีบำบัด (เช่น ผมร่วง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร) ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งมักเป็นเพียงชั่วคราว

3. ในปัจจุบันมีการพัฒนาวิธีการรักษาด้วยยากลุ่มใหม่ ๆ (ซึ่งใช้สะดวก ได้ผลดีและมีผลข้างเคียงน้อย) และการปลูกถ่ายไขกระดูกหรือเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวขึ้น หรือบางรายอาจหายขาดได้

4. เนื่องจากมะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาจเกิดขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายก็ได้ โรคนี้จึงมีอาการแสดงได้หลากหลาย ขึ้นกับตำแหน่งที่เกิดขึ้นของมะเร็ง และระยะของโรค

อาการที่เห็นได้ชัด คือ ก้อนบวมที่พบและคลำได้จากภายนอก เช่น ก้อนที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบ แต่บางรายอาจเกิดขี้นที่อวัยวะภายใน โดยไม่พบก้อนที่ภายนอกก็ได้ ดังนั้นผู้ที่มีอาการเรื้อรังที่หาสาเหตุไม่พบในระยะแรก เช่น ไอเรื้อรัง (ทำให้เข้าใจว่าเป็นโรคหลอดลมหรือโรคปอด ซึ่งแพทย์อาจลองตรวจรักษาแบบโรคหลอดลมหรือโรคปอดแล้วไม่ได้ผล) ปวดท้องเรื้อรัง (ทำให้เข้าใจว่าเป็นโรคกระเพาะ ซึ่งแพทย์อาจลองตรวจรักษาแบบโรคกระเพาะแล้วไม่ได้ผล) ปวดศีรษะเรื้อรัง แขนขาชาหรืออ่อนแรง (ทำให้เข้าใจว่าเป็นโรคของสมองหรือระบบประสาท ซึ่งแพทย์อาจลองตรวจรักษาแบบโรคของสมองหรือระบบประสาทแล้วไม่ได้ผล) ก็ควรมีความอดทน และติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัดอย่างต่อเนื่อง แพทย์ก็จะทำการตรวจด้วยวิธีต่าง ๆ เพิ่มเติม ในที่สุดก็มักจะตรวจพบร่องรอยของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกาย



5
รถกระบะรับจ้าง รถรับจ้างบึงกาฬ ขนย้ายคุณภาพ ราคาไม่แพง

รถรับจ้างบึงกาฬ กับมาตรฐานการบริการรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายห้อง ย้ายครัว ย้ายหอ ย้ายคอนโด จากรถขนของที่มากมายหาลายขนาด เช่น รถกระบะรับจ้างบึงกาฬ รถสี่ล้อรับจ้างบึงกาฬ รถปิ๊คอัพรับจ้างบึงกาฬ รถรับจ้าง4ล้อบึงกาฬ รถ6ล้อรับจ้างบึงกาฬ รถหกล้อรับจ้างบึงกาฬ รถรับจ้างย้ายบ้านบึงกาฬ รถรับจ้าง6ล้อบึงกาฬ รถเฮี๊ยบรับจ้างบึงกาฬ

รถสิบล้อรับจ้างบึงกาฬ รถเทรลเลอร์รับจ้างบึงกาฬ รถรับจ้างทั่วไปบึงกาฬ และ รถรับจ้างขนของจังหวัดบึงกาฬ ทุกคันในแต่ละสาขาอาชีพก็จะมีคนที่เก่ง ๆ ในสายอาชีพนั้น ๆ ในสายการบริการก็เช่นกัน รถรับจ้างจังหวัดบึงกาฬ ของขนส่งถือได้ว่ามีการบริการที่ได้มาตรฐานด้านรถรับจ้างเป็นอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว เพราะเราผ่านการทำงานด้านรถรับจ้างมานับไม่ถ้วน มากด้วยประสบการณ์ด้วยงานที่มากมายและคนขับรถที่เก่งในทุกเส้นทาง โดยมีการให้บริการในแต่ละวันจำนวนหลายรอบ จึงทำให้เรารู้ทุกเรื่องของการขนย้าย การขนของ การส่งสินค้า เรียกได้ว่ารถรับจ้างขนย้ายของบึงกาฬ เป็นหนึ่งด้านการรอบรู้เรื่องรถรับจ้างทุกชนิดเลยก็ว่าได้ และยังให้บริการรับจ้างขนของในหลายๆพื้นที่ต่างๆ

รถรับจ้างขนของบึงกาฬ ให้บริการไม่มีข้อแม้ มีการขนย้ายที่ไหน รถรับจ้างของเราไปถึงที่นั่น โดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าระยะทางจะลำบาก ขรุขระหรือไกลเพียงใด รถขนของรับจ้างจังหวัดบึงกาฬไม่เคยมีเรื่องไม่รับงาน เพราะนี่เป็นงานด้านบริการครบวงจรของเรานอกเสียจากรถของเราให้บริการเต็มทุกคันนั่นเอง รถรับจ้างจังหวัดบึงกาฬจึงรู้ทุกปัญหาหน้างานและแก้ไขอย่างมีฝีมือ จึงทำให้เป็นที่ถูกอกถูกใจแก่ผู้ใช้บริการเป็นอยากมาก โดยการกลับมาใช้บริการอีกหลายครั้ง และบางเจ้าก็รับให้รถรับจ้างจังหวัดบึงกาฬเป็นเจ้าประจำเคียงคู่กับธุรกิจกันแบบยาวๆไปเลยทีเดียวสามารถขอราคา ตรวจเช็คฟรีๆ ที่นี่


เบาแรงกับ พนักงานยกสินค้าจำนวนมาก ของรถรับจ้างขนของจังหวัดบึงกาฬ เป็นไปได้ว่าในชีวิตของคนเราอาจไปเกี่ยวข้องกับการ ย้ายบ้าน มาแล้ว ซึ่งถ้าจะถามความรู้สึกตอนย้ายบ้านเองเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาคงจะตอบว่า โอย...เหนื่อย ไม่อยากย้ายบ้านอีกเลย เพราะอย่างนี้นี่เอง รถรับจ้างขนย้ายของจังหวัดบึงกาฬ จึงขอเสนอตัวในการให้บริการด้านการขนย้ายทุกชนิด โดยที่ท่านไม่ต้องเหนื่อยกายและใจอีกต่อไป  เพียงมองดู ตรวจสินค้าตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการขนย้ายของการยกของขึ้นรถเท่านั้น เพราะทีมงานของเราจะทำการขนย้ายสิ่งของแทนท่าน ยิ่งถ้าเป็นคุณผู้หญิงด้วยแล้วการขนของเองเสี่ยงต่อสุขภาพเคล็ดขัดยอกได้ บาดเจ็บได้


ดังนั้น เพียงเรียกใช้บริการรถรับจ้างจังหวัดบึงกาฬ อย่าง รถสี่ล้อรับจ้างบึงกาฬ รถกระบะรับจ้างบึงกาฬ รถปิ๊คอัพรับจ้างบึงกาฬ รถ6ล้อรับจ้างบึงกาฬ รถรับจ้างย้ายบ้านบึงกาฬ รถรับจ้าง6ล้อบึงกาฬ รถรับจ้างทั่วไปบึงกาฬ รถหกล้อรับจ้างบึงกาฬ รถเฮี๊ยบรับจ้างบึงกาฬ รถรับจ้าง4ล้อบึงกาฬ รถสิบล้อรับจ้างบึงกาฬ รถเทรลเลอร์รับจ้างบึงกาฬ และ รถรับจ้างขนของจังหวัดบึงกาฬ ทุกสิ่งจะสำเร็จอย่างง่ายดาย โดยที่คุณไม่ต้องออกแรง หรือถ้าหากคุณจะช่วยก็เพียงแต่แพ็คของเป็นกล่อง ๆ จัดเรียงลำดับการขึ้นหรือระบุหมายเลขกล่องสินค้าไว้เท่านั้นเอง หน้าที่ยกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทีมงานเด็กยกสินค้าของเราต่อไปได้เลย

หัวใจของการบริการรถรับจ้างจังหวัดบึงกาฬ รถรับจ้างจังหวัดบึงกาฬให้บริการมานานเป็นเวลากว่า 15 ปี โดยเรามีรถรับจ้างมากมายหลายชนิด เพียงพอสำหรับความต้องการของทุกท่านในแต่ละวัน นอกจากนี้เรายังทำงานอย่างเป็นระบบมีขั้นตอน ซึ่งการทำงานเช่นนี้งานจะมีประสิทธิภาพและเสร็จได้เร็วขึ้น คุณจึงมั่นใจได้ว่า รถรับจ้างจังหวัดบึงกาฬ เป็นของ ทีมงานขนส่งที่มีความชำนาญงานเป็นพิเศษ ไม่ทำให้ข้าวของสินค้าคุณแตกหัก ชำรุด อย่างแน่นอน เพราะหัวใจของการบริการ รถรับจ้างบึงกาฬ คือ การบริการที่รวดเร็ว การเอาใจใส่ ความมีประสิทธิภาพและเป็นที่พอใจแก่ผู้ใช้บริการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้

6
รถกระบะรับจ้าง รถรับจ้างหนองบัวลำภู เรื่องเดียวที่ไว้ใจเราได้ กับการขนย้าย

รถรับจ้างหนองบัวลำภู กับมาตรฐานการบริการรับจ้างขนย้ายบ้าน ย้ายห้อง ย้ายครัว ย้ายหอ ย้ายคอนโด จากรถขนของที่มากมายหาลายขนาด เช่น รถกระบะรับจ้างหนองบัวลำภู รถสี่ล้อรับจ้างหนองบัวลำภู รถปิ๊คอัพรับจ้างหนองบัวลำภู รถรับจ้าง4ล้อหนองบัวลำภู รถ6ล้อรับจ้างหนองบัวลำภู รถหกล้อรับจ้างหนองบัวลำภู รถรับจ้างย้ายบ้านหนองบัวลำภู รถรับจ้าง6ล้อหนองบัวลำภู รถเฮี๊ยบรับจ้างหนองบัวลำภู รถสิบล้อรับจ้างหนองบัวลำภู รถเทรลเลอร์รับจ้างหนองบัวลำภู รถรับจ้างทั่วไปหนองบัวลำภู และ รถรับจ้างขนของจังหวัดหนองบัวลำภู ทุกคันในแต่ละสาขาอาชีพก็จะมีคนที่เก่ง ๆ ในสายอาชีพนั้น ๆ ในสายการบริการก็เช่นกัน รถรับจ้างจังหวัดหนองบัวลำภู ของขนส่งถือได้ว่ามีการบริการที่ได้มาตรฐานด้านรถรับจ้างเป็นอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว เพราะเราผ่านการทำงานด้านรถรับจ้างมานับไม่ถ้วน มากด้วยประสบการณ์ด้วยงานที่มากมายและคนขับรถที่เก่งในทุกเส้นทาง โดยมีการให้บริการในแต่ละวันจำนวนหลายรอบ จึงทำให้เรารู้ทุกเรื่องของการขนย้าย การขนของ การส่งสินค้า เรียกได้ว่ารถรับจ้างขนย้ายของหนองบัวลำภู เป็นหนึ่งด้านการรอบรู้เรื่องรถรับจ้างทุกชนิดเลยก็ว่าได้ และยังให้บริการรับจ้างขนของในหลายๆพื้นที่ต่างๆ ได้แก่

อำเภอเมืองหนองบัวลำภู
อำเภอ เกษตรสมบูรณ์
อำเภอแก้งคร้อ
อำเภอคอนสวรรค์
อำเภอคอนสาร
อำเภอจัตุรัส
อำเภอซับใหญ่
อำเภอเทพสถิต
อำเภอเนินสง่า
อำเภอบ้านเขว้า
อำเภอบ้านแท่น
อำเภอบำเหน็จณรงค์
อำเภอภักดีชุมพล
อำเภอภูเขียว
อำเภอหนองบัวแดง
อำเภอหนองบัวระเหว

รถรับจ้างขนอของหนองบัวลำภู ให้บริการไม่มีข้อแม้ มีการขนย้ายที่ไหน รถรับจ้างของเราไปถึงที่นั่น โดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าระยะทางจะลำบาก ขรุขระหรือไกลเพียงใด รถขนของรับจ้างจังหวัดหนองบัวลำภูไม่เคยมีเรื่องไม่รับงาน เพราะนี่เป็นงานด้านบริการครบวงจรของเรานอกเสียจากรถของเราให้บริการเต็มทุกคันนั่นเอง รถรับจ้างจังหวัดหนองบัวลำภูจึงรู้ทุกปัญหาหน้างานและแก้ไขอย่างมีฝีมือ จึงทำให้เป็นที่ถูกอกถูกใจแก่ผู้ใช้บริการเป็นอยากมาก โดยการกลับมาใช้บริการอีกหลายครั้ง และบางเจ้าก็รับให้รถรับจ้างจังหวัดหนองบัวลำภูเป็นเจ้าประจำเคียงคู่กับธุรกิจกันแบบยาวๆไปเลยทีเดียวสามารถขอราคา ตรวจเช็คฟรีๆ ที่นี่


เบาแรงกับ พนักงานยกสินค้าจำนวนมาก ของรถรับจ้างขนของจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นไปได้ว่าในชีวิตของคนเราอาจไปเกี่ยวข้องกับการ ย้ายบ้าน มาแล้ว ซึ่งถ้าจะถามความรู้สึกตอนย้ายบ้านเองเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาคงจะตอบว่า โอย...เหนื่อย ไม่อยากย้ายบ้านอีกเลย เพราะอย่างนี้นี่เอง รถรับจ้างขนย้ายของจังหวัดหนองบัวลำภู จึงขอเสนอตัวในการให้บริการด้านการขนย้ายทุกชนิด โดยที่ท่านไม่ต้องเหนื่อยกายและใจอีกต่อไป  เพียงมองดู ตรวจสินค้าตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการขนย้ายของการยกของขึ้นรถเท่านั้น เพราะทีมงานของเราจะทำการขนย้ายสิ่งของแทนท่าน ยิ่งถ้าเป็นคุณผู้หญิงด้วยแล้วการขนของเองเสี่ยงต่อสุขภาพเคล็ดขัดยอกได้ บาดเจ็บได้ ดังนั้น เพียงเรียกใช้บริการรถรับจ้างจังหวัดหนองบัวลำภู อย่าง รถสี่ล้อรับจ้างหนองบัวลำภู รถกระบะรับจ้างหนองบัวลำภู รถปิ๊คอัพรับจ้างหนองบัวลำภู รถ6ล้อรับจ้างหนองบัวลำภู รถรับจ้างย้ายบ้านหนองบัวลำภู รถรับจ้าง6ล้อหนองบัวลำภู รถรับจ้างทั่วไปหนองบัวลำภู รถหกล้อรับจ้างหนองบัวลำภู รถเฮี๊ยบรับจ้างหนองบัวลำภู รถรับจ้าง4ล้อหนองบัวลำภู รถสิบล้อรับจ้างหนองบัวลำภู รถเทรลเลอร์รับจ้างหนองบัวลำภู และ รถรับจ้างขนของจังหวัดหนองบัวลำภู ทุกสิ่งจะสำเร็จอย่างง่ายดาย โดยที่คุณไม่ต้องออกแรง หรือถ้าหากคุณจะช่วยก็เพียงแต่แพ็คของเป็นกล่อง ๆ จัดเรียงลำดับการขึ้นหรือระบุหมายเลขกล่องสินค้าไว้เท่านั้นเอง หน้าที่ยกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทีมงานเด็กยกสินค้าของเราต่อไปได้เลย


หัวใจของการบริการรถรับจ้างจังหวัดหนองบัวลำภู รถรับจ้างจังหวัดหนองบัวลำภูให้บริการมานานเป็นเวลากว่า 15 ปี โดยเรามีรถรับจ้างมากมายหลายชนิด เพียงพอสำหรับความต้องการของทุกท่านในแต่ละวัน นอกจากนี้เรายังทำงานอย่างเป็นระบบมีขั้นตอน ซึ่งการทำงานเช่นนี้งานจะมีประสิทธิภาพและเสร็จได้เร็วขึ้น คุณจึงมั่นใจได้ว่า รถรับจ้างจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นของขนส่งที่มีความชำนาญงานเป็นพิเศษ ไม่ทำให้ข้าวของสินค้าคุณแตกหัก ชำรุด อย่างแน่นอน เพราะหัวใจของการบริการ รถรับจ้างหนองบัวลำภู คือ การบริการที่รวดเร็ว การเอาใจใส่ ความมีประสิทธิภาพและเป็นที่พอใจแก่ผู้ใช้บริการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้

7
เรื่อง “โรคหัวใจ” ทำไมต้องรู้

โรคหัวใจ (Heart Disease) คือโรคต่างๆ ที่เกิดกับหัวใจ ซึ่งส่งผลให้การทำงานของหัวใจผิดปกติไป โดยทั่วไปแล้วเมื่อเราพูดถึงโรคหัวใจ หลายคนก็มักคิดถึง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือ ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน เป็นอันดับแรกๆ เพราะเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดในบรรดาโรคหัวใจ ทั้งในแต่ละปียังมีคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจกว่า 40,000 คนเลยทีเดียว


และนอกจากโรคหลอดเลือดหัวใจที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันดีแล้ว โรคหัวใจยังแบ่งออกได้เป็นหลายกลุ่มโรค เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นต้น


เพราะไลฟ์สไตล์เกี่ยวข้องกับ “สุขภาพหัวใจ” โดยตรง

ในอดีตโรคหลอดเลือดหัวใจมักเกิดในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันเราพบว่าหนุ่มสาววัยทำงานนั้นมีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ซึ่งเป็นผลมาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารฟาสต์ฟู้ดหรืออาหารตามสั่งที่มักมีไขมันสูง การทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์และติดการใช้โทรศัพท์มือถือ ทำให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง ขาดการออกกำลังกาย ทั้งยังมีเรื่องของความเครียด การพักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอหรือไม่มีคุณภาพ ยิ่งหากใครที่สูบบุหรี่หรือชอบปาร์ตี้ดื่มเหล้าด้วยแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมากขึ้นไปอีก


ส่วนปัจจัยที่นอกเหนือจากพฤติกรรมก็มีอยู่บ้าง เช่น เรื่องของโรคประจำตัวและพันธุกรรม ซึ่งหากใครมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือแม้แต่ตนเองเป็นโรคเบาหวาน หรือมีภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง ก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่นกัน
 

สัญญาณเตือน “โรคหัวใจ” หรือ “หลอดเลือดหัวใจตีบ” ที่ต้องสังเกต

    เหนื่อยง่ายเวลาออกแรง เดินเร็วๆ หรือออกกําลังกาย
    หายใจเข้าลำบาก อาจจะเป็นตลอดเวลา เป็นขณะออกกำลังกาย ตอนใช้แรงมากๆ หรือเป็นเฉพาะในเวลากลางคืนขณะพักผ่อน
    เจ็บหน้าอกหรือแน่นบริเวณกลางอก เจ็บหน้าอกด้านซ้ายบริเวณหัวใจหรือทั้ง 2 ข้างจนไม่สามารถนอนราบได้ตามปกติ เพราะจะรู้สึกเหนื่อยเวลาหายใจและอึดอัดตรงหน้าอก
    หายใจหอบ จนบางครั้งต้องตื่นขึ้นมาหอบกลางดึก
    เป็นลมหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ
    ขาหรือเท้าบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ ปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปากมีสีเขียวคล้ำ


จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น “โรคหัวใจ” แล้วหรือยัง?

การจะรู้ว่าเป็นโรคหัวใจหรือเปล่านั้น จะต้องเข้ารับการตรวจด้วยวิธีต่างๆ เหล่านี้ประกอบกันตามความจำเป็น เช่น

    ซักประวัติ สอบถามอาการและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่น่าสงสัย
    ตรวจร่างกายในทุกระบบที่เกี่ยวข้อง ฟังการเต้นของหัวใจ ตรวจระดับไขมันและหินปูนในหลอดเลือด
    ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) โดยใช้สื่อนำคลื่นไฟฟ้าขนาดเล็กมาติดตามที่หน้าอก แขนและขา โดยคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะแสดงออกมาเป็นกราฟ ซึ่งแพทย์จะอ่านผลและวินิจฉัยความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้
    ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test: EST) คือการให้ผู้เข้ารับการตรวจเดินหรือวิ่งบนสายพานเพื่อกระตุ้นให้หัวใจเต้นแรงขึ้น ผลจะแสดงออกมาเป็นกราฟคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
    ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiography) สำหรับผู้ที่ไม่พร้อมทดสอบด้วยการวิ่งบนสายพาน เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีปัญหาด้านการเดิน เป็นการตรวจเพื่อดูกายวิภาคของหัวใจ ความหนาของผนังหัวใจ การเคลื่อนที่และการบีบตัว ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคหัวใจได้เกือบทุกประเภท
    ตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง (CT Coronary Artery) เพื่อวิเคราะห์หาเส้นเลือดที่ตีบ-ตัน หรือความผิดปกติอื่นๆ ของหลอดเลือดหัวใจ เพราะการมีไขมันไปเกาะหลอดเลือดแดงนับเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือหัวใจวายเฉียบพลันจากการมีเส้นเลือดอุดตันได้ นอกจากนี้ยังทำให้เห็นการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ด้วย
    หากตรวจแล้วพบข้อสงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ การตรวจที่จะบอกได้แน่ชัดที่สุดว่ามีการตีบหรือใกล้ตันในจุดใด คือ การฉีดสีเพื่อดูเส้นเลือดหัวใจ ที่เรียกว่าการสวนหลอดเลือดหัวใจ นั่นเอง



ไม่อยากเป็นโรคหัวใจ…ต้องเริ่มหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจัง

เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตส่งผลต่อสุขภาพหัวใจโดยตรง ดังนั้นเราควรปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งสามารถทำได้ ดังนี้

    เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม ไม่หวาน ไม่มัน ไม่เค็มจนเกินไป กินผัก ผลไม้ที่มีกากใยให้มากขึ้น โดยเลือกชนิดที่น้ำตาลไม่สูง
    ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับหัวใจ ช่วยลดไขมันเลว (LDL) และเพิ่มไขมันดี (HDL) ในหลอดเลือด
    ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพราะการมีน้ำหนักตัวมากเกินไปเป็นปัจจัยสำคัญในเกิดโรคต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพหัวใจ เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
    งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสารเสพติดต่างๆ ที่จะทำให้เกิดความเสี่ยง
    ทำจิตใจให้แจ่มใส หากรู้ตัวว่ามีความเครียดควรรีบหาวิธีกำจัดอย่างเหมาะสม
    พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
    เลือกตรวจสุขภาพประจำปีให้เหมาะสมตามช่วงวัยและความเสี่ยง

8
โปรโมทฟรี / อาการโรคไต มีอะไรบ้าง?
« เมื่อ: 05 กันยายน 2024, 17:18:04 pm »
อาการโรคไต มีอะไรบ้าง?

จากสถิติล่าสุดมีคนไทยเป็นโรคไต เกือบ 8 ล้านคน เท่ากับ ในคนไทย 8 คนพบป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง 1 คน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรัง สาเหตุส่วนใหญ่ร้อยละ 70 เกิดจากเบาหวานและความดันโลหิตสูง ซึ่งมีสถิติผู้ป่วยรวมเกือบ 15 ล้านคน ผลที่ตามมาคือมีภาวะไตเสื่อมและไตเสื่อมเร็วขึ้น หากปฏิบัติตัวไม่ถูกต้อง และเป็นผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย 2 แสนคน ป่วยเพิ่มปีละกว่า 7,800 ราย ซึ่งถือเป็นสถิติที่สูงมาก

แล้วอาการของโรคไตมีอะไรบ้าง รพ.วิชัยเวชฯ หนองแขมสรุปเป็นหัวข้อง่าย ๆ เพื่อให้ทุกคนสังเกตอาการกันได้อย่างถูกต้อง


อาการของโรคไต

เนื่องจากไตเป็นอวัยวะที่ไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองให้กลับมาสมบูรณ์ได้ การเกิดความผิดปกติกับไตจึงเป็นเรื่องอันตราย โดยในช่วงแรกผู้ป่วยโรคไตแทบจะไม่มีสัญญาณของโรคร้ายนี้เลย แต่อาการจะปรากฏออกมาในระยะท้าย ๆ ที่ไตได้รับความเสียหายไปมากแล้ว จนในระดับสูงสุดอาจเกิดอาการไตวาย และเสียชีวิตได้ อาการของผู้ป่วยโรคไตที่ปรากฏมีดังนี้

    อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เหนื่อยง่าย
    มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ
    ปัสสาวะผิดปกติ เช่น มีกลิ่นผิดปกติ มีสีผิดปกติ เป็นต้น
    ปวดศีรษะ
    คลื่นไส้ อาเจียน
    มีอาการเบื่ออาหาร
    ตัวบวม หรือเท้าบวมเนื่องจากมีน้ำและเกลือในร่างกายปริมาณมาก หรือความสมดุลระหว่างน้ำและเกลือแร่ในร่างกายเสียไป ขอสังเกตคือบวมจนกดแล้วเนื้อบุ๋ม หรืออาจจะบวมที่หนังตา
    น้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว
    อาจจะมีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ ใจสั่น หมดสติ เป็นลม
    ปวดหลัง ปวดบั้นเอว
    ถ้าไตเสื่อมจนถึงการผลิตฮอร์โมนแย่ลง อาจเกิดภาวะซีด


โรคไตแบ่งออกเป็นกี่ระยะ มีอะไรบ้าง

โรคไตวายจะแบ่งหลัก ๆ ออกเป็น 2 ชนิด คือ

1. โรคไตวายเฉียบพลัน จะเป็นขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน ส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะเวลา 3 เดือน เช่น เสียเลือดมาก ได้รับสารพิษ หรือได้รับยาบางชนิด หากเป็นไตวายแบบเฉียบพลัน ยังมีโอกาสที่ไตจะสามารถฟื้นกลับมาเป็นปกติได้
2. โรคไตวายเรื้อรัง ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจาก โรคเบาหวาน ความดัน หรือเกิดจากโรคไตวายเฉียบพลันแต่ไม่สามารถฟื้นกลับมาเป็นปกติได้ใน 3 เดือน ก็จะทำให้เข้าสู่ภาวะไตวายเรื้อรัง ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 5 ระยะ

    ระยะที่ 1 เป็นระยะที่ไตเริ่มเสื่อม (มีโปรตีนในปัสสาวะ) ค่าการทำงานของไต หรือ ค่า GFR ปกติ ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 90 หรือมากกว่า
    ระยะที่ 2 ไตเสื่อม ค่าการทำงานของไต หรือ ค่า GFR ลดลงเล็กน้อย ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 60-89
    ระยะที่ 3  ค่าการทำงานของไต หรือ ค่า GFR ลดลงปานกลางซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 30-59
    ระยะที่ 4 ค่าการทำงานของไต หรือ ค่า GFR ลดลงมาก ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ  15-29
    ระยะที่ 5 เข้าสู่ภาวะไตวาย ค่าการทำงานของไต หรือ ค่า GFR น้อยกว่า 15

ค่าการทำงานของไตจะบ่งบอกให้แพทย์ทราบได้ว่าไตทำงานได้มากน้อยเพียงใด เมื่ออาการโรคไตยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ค่าการทำงานของไต GFR ก็จะลดลงไปเรื่อยๆ เช่นกัน

ซึ่งการที่จะรู้ว่าผู้ป่วยมีอาการโรคไตเรื้อรังระยะไหน ต้องทำการตรวจคัดกรองโรคไต โดยแพทย์จะทำการตรวจที่เฉพาะเจาะจงเพิ่มขึ้นเพื่อวางแผนการรักษา โดยจะตรวจดังต่อไปนี้

    ตรวจปัสสาวะ เพื่อทดสอบระดับอัลบูมินในปัสสาวะ รวมถึงตรวจความผิดปกติของปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะน้อยลง ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นฟอง
    การตรวจเลือด เพื่อหาค่า Creatinine เพื่อคำนวณค่าการทำงานของไต ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการบ่งบอกว่าไตยังทำงานได้มากน้อยเพียงใด เพื่อให้แพทย์ทราบได้ถึงระยะของโรคไตและช่วยในการวางแผนการรักษา
    ตรวจหาแร่ธาตุและสารละลายในเลือด
    ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด เนื่องจากผู้ที่มีภาวะไตเสื่อมจะมีภาวะโลหิตจาง
    ตรวจหาค่าน้ำตาลสะสม เนื่องจากสาเหตุสำคัญอีกประการที่ทำให้ไตเสื่อม คือเบาหวาน
    ทำการตรวจอัลตราซาวนด์หรือ CT Scan เพื่อถ่ายภาพไตและทางเดินปัสสาวะ เพื่อพิจารณาขนาดของไต ตรวจหาก้อนนิ่วหรือเนื้องอก และดูว่ามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับโครงสร้างของไตและทางเดินปัสสาวะหรือไม่
    การตัดชิ้นเนื้อไตส่งตรวจ ซึ่งจะทำในบางกรณีเท่านั้นในการตรวจดูประเภทของโรคไตที่เฉพาะเจาะจง ดูว่าไตถูกทำลายไปมากน้อยเพียงใดและช่วยในการวางแผนการรักษา ในการตัดชิ้นเนื้อนั้น แพทย์จะนำเนื้อเยื่อเล็กๆ ของไตส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์

9
มอเตอร์เอ็กซ์โปร์: i-motor Vapor CBS Crown ปี 2024
91,500 บาท

i-motor Vapor CBS Crown ปี 2024
Vapor CBS Crown ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ฮับไฟฟ้า 3,000 วัตต์ จับคู่กับแบตเตอรี่แบบเปลี่ยนไม่ได้ 73.6 V / 45 Ah ระยะเวลาในการชาร์จ 5 ชม. 30 นาที (8A/0-100%) และ 3 ชม. (15A/0-100%) ซึ่งรับประกันการส่งพลังงานที่เพียงพอและราบรื่นในทุกสถานการณ์ ประสบการณ์การขี่ที่ยอดเยี่ยมของ Vapor ควบคุมโดย ECU ระยะทางเมื่อชาร์จเต็ม 200 กม.

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์           i-motor
   รุ่น                i-motor Vapor CBS Crown ปี 2024
   ประเภทรถ       รถครอบครัวแบบสกู๊ตเตอร์, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว        2024
   ราคา           91,500 บาท

สเปค
   รูปแบบเกียร์          เกียร์ออโต้
   ระบบเกียร์
   รายละเอียดเครื่องยนต์  กำลังมอเตอร์ไฟฟ้า 3,000 วัตต์
   ระบบระบายความร้อน
   ระบบสตาร์ท
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)   CC
   แบบเครื่องยนต์
   ระบบจุดระเบิด
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง   ไฟฟ้า
   ระบบจ่ายน้ำมัน
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)   0 ลิตร
   ระบบกันสะเทือน          ล้อหน้า โช้คหัวตั้ง, ล้อหลัง โช้คคู่
   ระบบเบรค                 ล้อหน้า ดิสก์เบรก ((CBS)), ล้อหลัง ดิสก์เบรก ()
   แบบวงล้อ                  แมกซ์
   ขนาดยาง                 ล้อหน้า 90/80-14, ล้อหลัง 130/70-12
   ขนาด (ยาวxกว้างxสูง มม.)   1,690 x 705 x 1,100
   น้ำหนักตัวรถ                      115.00 กก.

10
motor expo 2024: ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน Harley-Davidson CVO Street Glide ปี 2024
3,152,000 บาท 

ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน Harley-Davidson CVO Street Glide ปี 2024
Harley-Davidson CVO Street Glide กับสุดยอดสมรรถนะของเครื่องยนต์ Milwaukee-Eight VVT 121แบบ V-Twin ขนาด 121 ลูกบาศก์นิ้ว โฉมใหม่ สร้างมาตรฐานใหม่ของแรงบิดและปริมาตรกระบอกสูบที่ติดตั้งมาจากโรงงาน บนรถมอเตอร์ไซค์ Harley-Davidson ตระกูล Touring พร้อมโดดเด่นด้วยหัวกระบอกสูบระบายความร้อนด้วยของเหลวที่ช่วยปรับระดับคลายความร้อนให้คลายตัวอย่างเหมาะสม จังหวะวาล์วแปรผัน (VVT) ระบบท่อร่วมไอดี และระบบไอเสียสมรรถนะใหม่ สะกดทุกสายตาด้วยการออกแบบโฉมใหม่ซึ่งเป็นการพัฒนามาจากรูปทรงที่คุ้นเคยของรถมอเตอร์ไซค์ Grand American Touring มาพร้อมแฟร์ริ่งที่มีช่องระบายอากาศในตัว โดดเด่นด้วยไฟหน้า LED และไฟเลี้ยวที่ผสานรวมกับปลายแฟร์ริ่งด้านนอก นอกจากนี้ บังโคลนหน้าที่ได้รับการปรับรูปทรง ถังน้ำมันขนาด 6 แกลลอนด้วยมุมเอียงด้านข้างที่โดดเด่น และกระเป๋าข้างที่มีรูปทรงสามมิติที่กลมกลืนไปกับแฟร์ริ่งและถังเชื้อเพลิง ล้อ Combo Cast แบบซี่โฉมใหม่ที่สร้างความโดดเด่นด้วยขอบล้ออะลูมิเนียมสีดำตัดกับล้อ

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์             Harley-Davidson
   รุ่น                  ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน Harley-Davidson CVO Street Glide ปี 2024
   ประเภทรถ        รถครูสเซอร์-ชอปเปอร์, Sport Touring Bigbike
   ปีที่เปิดตัว         2024
   ราคา              3,152,000 บาท

สเปค
   รูปแบบเกียร์       เกียร์ธรรมดา
   ระบบเกียร์         6 เกียร์
   รายละเอียดเครื่องยนต์     Milwaukee-Eight VVT 121
   ระบบระบายความร้อน      อากาศ
   ระบบสตาร์ท                สตาร์ทไฟฟ้า (มือ)
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)    1977 CC
   แบบเครื่องยนต์            4 จังหวะ (2 ลูกสูบ)
   ระบบจุดระเบิด
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง     แก๊สโซฮอล์ 95 (E10), เบนซิน 95
   ระบบจ่ายน้ำมัน             หัวฉีด (ระบบฉีดเชื้อเพลิงอิเล็กทรอนิกส์แบบต่อเนื่อง (ESPFI))
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)     22.7 ลิตร
   ระบบกันสะเทือน           ล้อหน้า โช้คหน้าหัวกลับ 1x1 ขนาด 47 มม., ล้อหลัง ระบบกันสะเทือนคู่แบบอิมัลชันที่ปรับได้พร้อมการปรับพรีโหลดผ่านรีโมตที่โช้คซ้าย และระบบปรับพรีโหลดแบบเกลียวที่โช้คขวา

   ระบบเบรค                  ล้อหน้า ดิสก์เบรก (จานเบรกแบบสองชิ้น เบรกหน้าคู่ยึดติดกับที่แบบเรเดียล 4 ลูกสูบ ขนาด 32 มม.), ล้อหลัง ดิสก์เบรก (จานเบรกแบบคงที่ เบรกหลังเดี่ยวแบบติดตั้งบนแกน)
   แบบวงล้อ                  ซี่ลวด
   ขนาดยาง                  ล้อหน้า 130/60B19 M/C 61H, ล้อหลัง 180/55B18 M/C 80H
   ขนาด (ยาวxกว้างxสูง มม.)  2,410 x - X 715
   น้ำหนักตัวรถ                    380.00 กก.

11
จัดฟันบางนา: วิธีแก้อาการเสียวฟัน

อาการเสียวฟัน หลายคนคงเคยต้องเผชิญกับอาการนี้ และเป็นปัญหากวนใจในการรับประทานอาหารเป็นอย่างมาก อาการเสียวฟัน เป็นอาการที่ทำให้รู้สึกเจ็บแปลบหรือปวดฟัน โดยเฉพาะเมื่อโดนความร้อน เย็น หรือความดันอากาศที่เปลี่ยนแปลง เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพช่องปากที่ควรรีบแก้ไข และไม่ควรมองข้าม และถ้าหากรู้สาเหตุของอาการและรักษาแก้ไขได้ถูกจุดก็สามารถจบปัญหาที่รบกวนชีวิตประจำวันนี้ได้ เพราะอาการเสียวฟันส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร หรือการดื่มน้ำ ก็อาจจะทำให้รู้สึกเสียวฟันได้ โดยอาการเสียวฟันมีสาเหตุด้วยกันหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น การแปรงฟันที่ไม่ถูกต้อง การแปรงฟันแรงๆจนทำให้เคลือบฟันหลุดร่อนได้


อีกทั้งยังทำให้เนื้อเยื่อของเหงือกถูกทำลายและเกิดปัญหาเหงือกร่นจนถึงรากฟัน นำมาสู่อาการเสียวฟันได้ รวมไปถึงอาการฟันผุ เมื่อเนื้อฟันถูกจู่โจมด้วยเชื้อแบคทีเรียและกัดกินฟันจนกลายเป็นอาการฟันผุ ก็ทำให้เคลือบฟันถูกทำลายจนเกิดอาการเสียวฟัน และถ้าเป็นโรคเหงือก เหงือกที่อักเสบ บวม และอ่อนแอจนเกิดภาวะเหงือกร่น ส่งผลให้รากฟันโผล่ออกมา เมื่อสัมผัสกับความร้อน ความเย็นหรือความดันอากาศก็ทำให้เสียวฟันได้ นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่เป็นกรดก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้สารเคลือบฟันเกิดการผุกร่อน โดยเฉพาะอาหารที่มีรสเปรี้ยว หากรับประทานแล้วไม่แปรงฟัน กรดอาจทำลายไปถึงชั้นเนื้อฟันได้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดอาการเสียวฟันแต่ยังทำลายฟันได้อีกด้วย


ดังนั้น การรับประทานอาหารหรือการดูแลรักษาความสะอาดของฟันจึงถือเป็นเรื่องสำคัญและสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดอาการเสียวฟันได้ สำหรับอาการเสียวฟัน ที่สามารถพบได้บ่อยเป็นประจำนั่นก็คือ อาการเจ็บแปลบๆ ที่ฟันเวลาที่ดื่มหรือรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ร้อนหรือเย็นจัดและมีกรดมาก นอกจากนี้อาจจะทำให้รู้สึกเจ็บแปลบหรือปวดฟันเวลาที่หายใจทางปากหรือกัดฟัน มีสาเหตุมาจากเคลือบฟันซึ่งเป็นส่วนที่แข็งแรงที่สุดของฟันถูกทำลาย ทำให้ท่อประสาทฟันที่อยู่บนผิวฟันจำนวนมากถูกกระทบกระเทือน อันส่งผลไปต่อประสาทฟันที่อยู่ลึกลงไปนั่นเอง


แต่อาการเสียวฟัน เราสามารถป้องกันได้ แต่เมื่อเรามีอาการเสียวฟัน อย่างแรกควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและที่มาของอาการ เพื่อที่จะได้รักษาอาการเสียวฟันได้อย่างตรงจุด เพื่อทำการแก้ไขและอาการเสียวฟันก็จะค่อยๆหายไป แต่หากยังไม่สะดวกในการเข้าพบทันตแพทย์ ก็อาจจะแก้ไขด้วยวิธีการเบื้องต้นก่อน โดยวิธีการแรกคือ เราควรแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่ช่วยลดอาการเสียวฟัน การใช้ยาสีฟันซึ่งมีส่วนผสมของตัวยาที่ช่วยบรรเทาอาการเสียวฟัน ก็จะช่วยให้เสียวฟันน้อยลงได้ ต่อมาควรใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงอ่อนนุ่ม การใช้แปรงสีฟันก็มีส่วนสำคัญที่จะช่วยในการป้องกันและรักษาอาการเสียวฟันได้ และที่สำคัญจะต้องแปรงฟันให้ถูกวิธีและเบามือเพื่อป้องกันการทำลายของผิวเคลือบฟัน ที่เป็นสาเหตุของอาการเสียวฟัน หลังจากแปรงฟันแล้ว ควรบ้วนปากอย่างสม่ำเสมอ การทำความสะอาดช่องปากด้วยการแปรงฟัน หรือบ้วนปากเป็นประจำด้วยวิธีที่ถูกต้อง สามารถช่วยบรรเทาอาการเสียวฟันได้


อย่างไรก็ตาม หากวิธีการป้องกันและรักษาอาการเสียวฟันที่กล่าวมาข้างต้น ยังทำให้อาการเสียวฟันไม่บรรเทา ก็ควรใช้วิธีการรักษาโดยทันตแพทย์ โดยวิธีการแรกอย่างง่ายที่สุดคือ การเคลือบฟลูออไรด์ เป็นการนำสารฟลูออไรด์มาป้ายบริเวณที่มีอาการเสียวฟัน เพื่อเสริมสารเคลือบฟันให้แข็งแรงและลดอาการปวดลง ซึ่งทันตแพทย์อาจแนะนำให้นำสารฟลูออไรด์กลับไปใช้ที่บ้านด้วยตามใบสั่งของทันตแพทย์ หรืออาจจะใช้วิธีการอุดฟัน แต่ในกรณีนี้จะใช้สำหรับ ผู้เข้ารับการรักษาที่มีปัญหารากเคลือบฟันเปิดจนเห็นรากฟัน ทันตแพทย์อาจใช้วิธีอุดฟันด้วยเรซินเพื่อปิดบริเวณที่เห็นรากฟัน โดยบางครั้งอาจใช้ยาชาเฉพาะจุดเพื่อช่วยลดอาการเสียวฟันในขณะทำการรักษาด้วย


แต่ถ้าหากอาการเสียวฟันมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น อาจจะต้องใช้วิธีการรักษารากฟัน ซึ่งทันตแพทย์จะแนะนำให้ทำการรักษารากฟัน รักษาอาการเสียวฟันที่เกิดขึ้นตั้งแต่เนื้อเยื่อภายในโพรงประสาทฟัน เป็นวิธีที่สามารถแก้ปัญหาอาการเสียวฟันได้ดีที่สุด อาการเสียวฟันถึงแม้ว่าจะไม่ร้ายแรง แต่เราก็ไม่ควรที่จะมองข้าม เพราะฉะนั้น หากมีความรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่บริเวณฟันขณะที่ดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่เย็นจัด หรือร้อนจัด เราควรรีบไปพบทันตแพทย์เพื่อทำการตรวจช่องปากและฟัน เพื่อทำการรักษาได้ทันที เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพช่องปากที่กวนใจที่จะตามมา ทางคลินิกเราอยากใทุกคนใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อให้เราได้มีสุขภาพฟันที่แข็งแรง มีฟันที่ตัวกันอย่างสวยงาม ป้องกันการเกิดการสูญเสียฟัน เสริมสร้างความมั่นใจ และช่วยทำให้เรารับประทานอาหารได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

12
สินเชื่อรีไฟแนนซ์: เปรียบเทียบสินเชื่อเงินสดแบบไม่มีหลักประกัน กู้ผ่านง่ายหรือยาก

สินเชื่อเงินสดเป็นตัวช่วยแรกๆ ที่คนมีปัญหาการเงินหรือต้องการเงินฉุกเฉินเลือกกู้นะคะ แต่ก่อนกู้ก็ต้องเปรียบเทียบสินเชื่อเงินสดให้ดีนะคะ เพราะสินเชื่อเงินสดยังแบ่งออก 3 ประเภท คือ บัตรเครดิต, บัตรกดเงินสด, และสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งปกติแล้วจะมีทั้งแบบใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันและไม่ต้องค้ำประกันด้วยนะคะ ดูเพิ่มเติม เปรียบเทียบสินเชื่อเงินสดแบบมีหลักประกัน ใช้อะไรค้ำประกันได้บ้าง เราทราบกันแล้วว่าใช้อะไรค้ำประกันสินเชื่อได้บ้างใช่มั้ยคะ... แล้วถ้าไม่มีหลักประกันล่ะ จะกู้ผ่านยากหรือเปล่า ต่างจากสินเชื่อแบบค้ำประกันอย่างไร ไปดูกันค่ะ


สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน  คืออะไร

คือ สินเชื่อผู้ให้บริการสินเชื่อหรือสถาบันการเงินจะดูความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ขอกู้เป็นหลัก เช่น รายได้ ไปจนถึงประวัติทางการเงิน โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์มาค้ำประกัน เช่น บัตรเครดิต, บัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคล

 
สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน ต่างกัน สินเชื่อแบบมีหลักประกันอย่างไร

ต้องบอกว่าสินเชื่อทั้งแบบมีหลักประกันและไม่มีหลักประกันมีจุดประสงค์ในการขอสินเชื่อต่างกันนะคะ สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันส่วนใหญ่จะมีวงเงินไม่สูงมาก ชำระคืนได้เร็ว เช่น บัตรเครดิต, บัตรกดเงินสด ส่วนแบบมีหลักประกันจะมีวงเงินสูง ก้อนใหญ่ ผ่อนชำระนาน เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่เราใช้บ้านหรือคอนโดมาเป็นหลักประกันนั่นเอง
 

สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน กู้ผ่านยากหรือง่าย

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นนะคะ ว่าสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันจะพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจากรายได้ ความมั่นคงทางการเงิน ไปจนถึงเรื่องข้อมูลเครดิตบูโรเป็นหลักนะคะ ไม่ต้องกังวลหรือกลัวว่าหากไม่มีหลักประกันจะขอสินเชื่อไม่ผ่านนะคะ เรื่องประวัติทางการเงินของเราเป็นสิ่งที่ผู้ให้บริการสินเชื่อหรือสถาบันการเงินจะดูเป็นอันดับแรกๆ เลยล่ะค่ะ
 

13
โปรโมทฟรี / บ้านเดี่ยว วีเว่ พระราม 9 (VIVE Rama 9)
« เมื่อ: 01 กันยายน 2024, 19:34:56 pm »
บ้านเดี่ยว วีเว่ พระราม 9 (VIVE Rama 9)
เริ่มต้น 30 ลบ. - 45 ลบ. 

วีเว่ พระราม 9 (VIVE Rama 9)
บ้าน 3 ชั้น ดีไซน์ใหม่ ในสไตล์ "Modern Japanese" สะท้อนรสนิยมการใช้ชีวิต…ที่ไม่ซ้ำใคร ด้วย Identity Living Concept 3 ห้องนอน 3 Lifestyles ที่ออกแบบมารองรับทุกอารมณ์และความรู้สึก

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ            วีเว่ พระราม 9 (VIVE Rama 9)
 เจ้าของโครงการ       แลนด์แอนด์เฮ้าส์
 แบรนด์ย่อย            วีเว่
 ราคา                  เริ่มต้น 30 ลบ. - 45 ลบ.

 ประเภทบ้าน         บ้านเดี่ยว
 ลักษณะทำเล       บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ         25 ไร่
 จำนวนบ้าน            75 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด      1 แบบ
  เนื้อที่บ้าน           ตั้งแต่ 68 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย         ตั้งแต่ 324 ตร.ม.
 จำนวนชั้น           3 ชั้น
 หน้ากว้าง           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน    3 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ   โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค    สวนสาธารณะ, คลับเฮาส์, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, Keycard System

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน        รามคำแหง, บางกะปิ, เสรีไท
 ที่ตั้ง       เลขที่ 38 ถนนกรุงเทพกรีฑา ทับช้าง, เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร 10250

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเหลือง, สถานี(ลาดพร้าว - สำโรง)(ศรีกรีฑา)
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าAirport Rail Link, สถานี(สถานีปัจจุบัน)(หัวหมาก)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
เซ็นทรัล พลาซ่า แกรนด์ พระราม 9
โรงเรียนนานาชาติเวลลิงตัน
โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์


14
เที่ยวระนอง ถวาย ดอกบัวอบแห้ง เข้าโบสถ์

ได้เดินทางมา เที่ยวระนอง และได้แวะไปวัดบ้านหงาว เพื่อสักการะ หลวงพ่อดีบุก ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “พระติปุกะพุทธมหาศากยมุนีศรีรณังค์” มีความหมายว่า พระพุทธรูปดีบุกองค์ใหญ่ ที่เป็นสิริมงคล และศักดิ์ศรีของเมืองระนอง นั่นเอง

เที่ยวระนอง ไหว้สักการะหลวงพ่อดีบุก เที่ยววัดบ้านหงาว

การเดินทางมาที่วัดบ้านหงาว ในครั้งนี้ เรามาตาม Google Map ที่นำทางมาจนถึงที่หน้าวัด บอกเลยว่า พระอุโบสถสวยมาก เป็นพระอุโบสถ 2 ชั้น อยู่ท่ามกลางขุนเขา พระอุโบสถกว้าง 8 เมตร ยาว 15 เมตร รอบๆเทคอนกรีตเป็นลานกว้าง มีลูกกรงล้อมรอบดูสวยงาม มีอาคารจัตุรมุขกว้าง มีบันไดขึ้นลงได้ทั้ง 4 ทิศ เหนือ ใต้ ตะวันออก และ ตะวันตก

ตรงบันไดด้านหน้าทางขึ้นนั้น มีรูปปั้นขององค์พญานาค สีเขียว อยู่ที่บันไดทางขึ้น ที่สวยงามมาก เมื่อมาถึงที่ภายในพระอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานพระประธาน มีนามว่า “หลวงพ่อดีบุก” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่สีตะกั่ว สวยงาม องค์ใหญ่ เป็นที่สักการะ ทั้งคนในชุมชน และนักท่องเที่ยว จิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถ แกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ ได้อย่างปราณีต และงดงามยิ่งนัก

ไร่หนึ่งอรุณ ได้นำดอกบัวอบแห้งคู่หนึ่ง พร้อมกับ ชุดสังคทาน ถวายแด่ท่านเจ้าอาวาส และท่านได้อนุญาตให้นำดอกบัวอบแห้งคู่นี้ นำมาตั้งวางไว้ที่ในพระอุโบสถแห่งนี้ เป็นที่ปราบปลื้มใจยิ่งนัก ” ข้าพเจ้า ไร่หนึ่งอรุณ ขอถวาย ดอกบัวอบแห้ง คู่นี้ เป็นพุทธบูชา แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ”

ด้านล่างของอุโบสถเป็นห้องโถง ใช้สำหรับการประชุมสัมมนา ต่างๆได้ นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ที่เก็บรวบรวมสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้า ประวัติความเป็นมาของชาวระนอง นอกจากนี้ยังมีวังมัจฉา ที่มีพันธุ์ปลาน้ำจืดหลากหลายชนิด นักท่องเที่ยวสามารถให้อาหารได้

ที่บริเวณภูเขาด้านหลังของวัด มีบันไดคอนกรีต มากกว่า 300 ขั้น ที่สามารถเดินขึ้นไปบนยอดภูเขา เป็นสถานที่สำหรับชมวิวทิวทัศน์ ของจังหวัดระนองได้รอบ 360 องศา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม อีกแห่งหนึ่งของภาคใต้
ประวัติ วัดบ้านหงาว จังหวัดระนอง

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 ในปีนั้น ได้มีพระธุดงค์ นามว่า หลวงพ่อเขียด ท่านเป็นพระที่มีอายุพรรษามากรูปหนึ่ง ท่านธุดงค์มาจากจังหวัดปัตตานี มาปักกรดโปรดสัตว์อยู่ที่บริเวณสถานีอนามัยตำบลหงาว เมื่อชาวบ้านมาเห็น จึงเกิดศรัทธายิ่งนัก จึงพากันมาทำบุญ และฟังธรรมเทศนา

หลวงพ่อเขียด ท่านมีปฏิปทาน่าเคารพเลื่อมในมาก โดยได้ให้ความเมตตาช่วยเหลือชาวบ้านในด้านต่าง ๆ เป็นอย่างดี ชาวบ้านจึงนิมนต์ ให้ท่านอยู่จำพรรษาที่บ้านหงาว โดยคุณแม่ลำไย สกุลสิงห์ คหบดีในตำบลหงาว อุทิศที่ดินจำนวน ๒ ไร่ สร้างเป็นที่พักสงฆ์ หลวงพ่อเขียด ท่านรับนิมนต์ และย้ายไปปักกรดในที่ดินที่คุณแม่ลำไย อุทิศให้ คือบริเวณที่ตั้งวัดบ้านหงาวในปัจจุบันนี้

หลวงพ่อเขียด ได้ขอบิณฑบาตกระดานโลงศพ ในส่วนที่เป็นฝาและท้องโลงศพ ที่ชาวบ้านนำศพไปเผาแล้วถอดออก เพื่อทำเป็นเชื้อไฟนำมาทำเป็นกุฏิของท่าน หลวงพ่อเขียดเป็นพระธุดงค์ ชอบความสงบ วิเวก เมื่อสร้างที่พักสงฆ์เสร็จแล้ว มีพระภิกษุสามเณรมาอยู่กันมาก คนเริ่มเข้าวัดมากขึ้น ท่านเห็นว่ามีพระอยู่กันหลายรูปแล้ว ในปี พ.ศ. 2502 ท่านก็จาริกธุดงค์ไปที่อื่น โดยไม่มีใครทราบว่าท่านธุดงค์ไปที่ไหนจนกระทั่งปัจจุบันนี้

ต่อจากนั้นมา ที่พักสงฆ์บ้านหงาว ก็ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นสำนักสงฆ์สาขาวัดอุปนันทาราม โดยมีพระครูสมุห์นิคม อรุโณ มาอยู่เป็นเจ้าสำนัก จึงมีการพัฒนาและก่อสร้างอาคารต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น กุฏิพระสงฆ์ หอฉัน ศาลาการเปรียญ เพื่อเตรียมการขอตั้งเป็นวัดให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกรมการศาสนา

ดร.แหลม พิชัยศรทัต ซึ่งเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทไซมัสกินซินทีเกรด ทำธุรกิจเหมืองเรือขุดแร่อยู่ในตำบลหงาว และเป็นกำนันอยู่ในตำบลหงาวขณะนั้น ท่านได้ของบประมาณจากทางจังหวัดมาสร้างเมรุเผาศพ และขอบริจาคที่ดินจากผู้ที่มีที่ดินติดกับวัด จึงทำให้วัดบ้านหงาวมีที่ดินเพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น ๒๒ ไร่ เศษ ดังในปัจจุบันนี้

ในปี พ.ศ. 2530 จึงได้ยกฐานะจากสำนักสงฆ์ขึ้นเป็นวัด โดยใช้ชื่อว่า “วัดบ้านหงาว” มีพระอธิการน้อม จนฺทสโร เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก พระอธิการน้อม มรณภาพในปี พ.ศ. 2532 ทางคณะสงฆ์จังหวัดระนองจึงได้ส่ง พระสมุห์โกศล กุสโล (อาจารย์ฉลวย กุสโล) มาเป็นเจ้าอาวาสแทน ท่านเป็นพระนักพัฒนา ท่านได้วางแผนพัฒนาวัดบ้านหงาวอย่างต่อเนื่อง สร้างกุฏิ หอฉัน ศาลาการเปรียญ เมรุเผาศพขึ้นใหม่

รวมทั้งจัดตั้งแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดขึ้นในเหมืองเก่า หาพันธุ์ปลามาปล่อย และตั้งชื่อขุมเหมืองแร่เก่านี้ว่า “วังมัจฉา” มีพันธุ์ปลาน้ำจืดที่หายาก มากมาย จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดระนองในปัจจุบัน

อุโบสถวัดบ้านหงาว เป็นอุโบสถ 2 ชั้น หรือที่เรียกว่า อุโบสถลอยฟ้า กว้าง 8 เมตร ยาว 15 เมตร รอบอุโบสถเทคอนกรีตเป็นลานกว้างมีลูกกรงล้อมรอบ ในแต่ละมุมทั้ง 4 ด้าน มีอาคารจัตุรมุขกว้าง มีบันไดขึ้นลงรอบทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ด้านล่างของอุโบสถเป็นห้องโถงใช้สำหรับการประ ชุมสัมมนา

ภายในอุโบสถวัดบ้านหงาว เป็นที่ประดิษฐานพระประธาน มีนามว่า “หลวงพ่อดีบุก” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีชื่อเป็นทางการว่า “พระติปุกะพุทธมหาศากยมุนีศรีรณังค์” อันมีความหมายว่า “พระพุทธรูปดีบุกองค์ใหญ่เป็นสิริมงคลและศักดิ์ศรีของเมืองระนอง” และยังมีความสวยงามของฝาผนังที่แกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ อีกด้วย

ศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชวัดบ้านหงาว ภายในจะแสดงเรื่องราวการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกร ที่ชาวระนองวัดบ้านหงาว ได้บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ของจังหวัดระนอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จหลายครา ตั้งแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบัน

ทำให้คนในชุมชนมีความพออยู่พอกิน หาเลี้ยงพึ่งพาตนเองได้ ลูกหลานระนองทุกคนมีความเคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ระนองเป็นเมืองแห่งความจงรักภักดี พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ซึ่งมีการรวบรวมสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ทั้งพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์สมัยต่าง ๆ เครื่องมือในการร่อนแร่ ครกบดหิน เงินตราสมัยต่าง ๆ ตลอดถึงภาพเก่า ๆ ที่สามารถเล่าเรื่องอดีตให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้า

วัดบ้านหงาว มีมรดกทางวัฒนธรรมและมีธรรมชาติอากาศบริสุทธิ์ ภูเขาหญ้าที่สวยงาม ช่วงวันออกพรรษา ที่นี้จะมีการตักบาตรเทโว ที่พระสงฆ์เดินลงเป็นสายทางยาวลงบันได จำนวน 343 ขั้น จากยอดเขาลงมา ให้พุทธศาสนิกชน ได้ตักบาตร เสมือนหนึ่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ลงมาโปรดมนุษย์ เนื่องในวันออกพรรษา ประชาชนในชุมชนได้ร่วมทำบุญ อิ่มบุญกันถ้วนหน้า เป็นชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวรต้นแบบ ที่กระทรวงวัฒนธรรมส่งเสริมให้เป็นชุมชนบวร On Tour ที่ควรภาคภูมิใจและไปเยี่ยมเยือน



15
เที่ยวสุพรรณ วัดเขาดีสลัก ทำบุญ ไหว้พระวัดใกล้กรุงเทพ วัดที่มีบันไดหลายขั้น วัดที่มีวิวธรรมชาติ 

วัดเขาดีสลัก สุพรรณบุรีเป็นหนึ่งในวัดหลายๆ วัดที่มีทางเดินเป็นบันไดจำนวนหลายขั้น น่าจะมากกว่า 200 ขั้นได้ในกรณีที่เดินขึ้นเขาจากทางด้านหน้าของวัด แต่เผอิญว่าผู้เขียนไปทางด้านหลังวัด ซึ่งจะมีถนนเรียบไปกับกำแพงของวัดที่ปลายทางของถนนเส้นนี้อยู่บนเขาของ วัดเขาดีสลัก สุพรรณบุรี แต่นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดค่ะ แต่เป็นการย่นระยะทางให้สั้นลง

ทางเดินขึ้นบนเขา แต่ก็ยังต้องเดินขึ้นบันไดอีกเป็นร้อยขั้นอยู่ดี วัดเขาดีสลัก สุพรรณบุรี มีวิวบนเขาที่สวยงามมากค่ะ อาคารของวัดที่มีกิจกรรมทางพุทธศาสนาจะอยู่ที่เชิงเขาด้านล่าง แต่จุดที่ดึงดูดให้ผู้คนมาที่นี่จะเป็นจุดชมวิวบนเขาแทน ซึ่งสามารถเห็นวิวมุมสูงได้ ภาพที่เห็นจะเป็นพื้นที่ทำการเกษตรของคนในอำเภออู่ทอง ด้านบนนี้มีห้องน้ำ มีร้านขายขนมและเครื่องดื่มร้านเดียว มีลานจอดรถ มีศาลาที่มีพระพุทธรูปด้านในที่สามารถเข้าไปกราบไหว้ขอพรได้ และเดินชมวิวโดยรอบ มีบ่อน้ำหน้าศาลาที่มีดอกบัว มีที่นั่งเล่น นั่งทานขนม นั่งชมวิว นั่งพักเหนื่อย

บนเขา ถ้าจะมากราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุนั้นต้องเดินไปต่อด้วยบันไดที่มีประมาณเกือบ 100 ขั้น ใครมาสายๆ แดดจะร้อนมากค่ะ แสงแดดจ้ามากมองที่จอโทรศัพท์แทบจะไม่เห็นเลยต้องได้เปิดความสว่างระดับสูงสุด แล้วแบตเตอรี่ก็หมดไวมากจากการถ่ายรูปจากที่อื่นมาก่อนหน้าแล้ว พอมาที่วัดเขาดีสลัก สุพรรณบุรี ยิ่งเปลืองแบตเตอรี่เข้าไปอีก  แต่ดีที่มีพาวเวอร์แบงค์สำรองไฟ แต่ก็ไม่ได้ถ่ายรูปเยอะอยู่ดี ส่วนด้วยเหตุผลอะไรเดี๋ยวเล่าต่อค่ะ


รูปปั้นลิง คนมาเที่ยวที่วัดเขาดีสลัก สุพรรณบุรี ไม่มากค่ะ น่าจะมีสองเหตุผลหนึ่งมันแดดร้อนมากจนไม่อยากเดินขึ้นมาบนเขากับสองอยู่ในช่วงโควิด-19 ระบาดด้วย วิวโดยรอบบนเขาก็จะได้บรรยากาศของความแห้งแล้งนิดหน่อย มีต้นไผ่เยอะ มีดอกไม้ป่า และต้นไม้แปลกๆ ที่ยังรอดชีวิตให้เห็นอยู่บ้าง

ลูกไม้ป่า ผู้เขียนไม่ได้ถ่ายรูปมาเยอะ เพราะอย่างที่บอกว่าอากาศค่อนข้างร้อน เลยเอาแรงที่มีทั้งหมดใช้ในการเดินขึ้นบันไดและลงบันไดแค่นี้ก็เหนื่อยแล้วค่ะ แต่วิวด้านบนสวย ถ้าใครจะมาเที่ยวแนะนำให้มาตอนแดดร่มลมตกจะดีกว่ามาก


ต้นไม้ ดอกไม้ป่าสวยๆ มีเยอะเหมือนกันค่ะ บางชนิดจะอยู่บนต้นที่สูง แต่ก็ได้เห็นดอกใกล้ๆ ชัดๆ จากดอกบางส่วนที่ร่วงลงมา

ที่นี่มีลิงด้วย สามารถให้อาหารลิงได้ ลิงไม่ได้เดินไปทุกจุดจะอยู่ในบริเวณที่ลิงอาศัยอยู่เท่านั้น ถ้าใครกลัวว่าไหนจะต้องเดินขึ้นลงบันไดไหนจะกลัวลิงมาด้านหลังอีก ไม่มีลิงตรงทางเดินที่เป็นบันไดเลยค่ะ ผู้เขียนเองก็กลัวลิง ลองแวะมาที่วัดเขาดีสลัก สุพรรณบุรี ดูค่ะ บางทีสถานการณ์ของแต่ละคนก็อาจจะไม่เหมือนกัน แต่รับรองว่ามีวิวธรรมชาติให้ได้ชม และอย่าลืมเตรียมฟิตร่างกายมาเดินขึ้นบันได้ด้วยขอเตือน

หน้า: [1] 2 3 ... 27
ลงประกาศฟรี โฆษณาฟรี ลงประกาศขายบ้านฟรี ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ขายรถ สินค้าอุตสาหกรรม อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว โปรโมทสินค้าฟรี เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google